"เบี้ยผู้สูงอายุ" และ "เบี้ยผู้พิการ" ลงทะเบียน สมัครรับสวัสดิการอย่างไร

"เบี้ยผู้สูงอายุ" และ "เบี้ยผู้พิการ" ลงทะเบียน สมัครรับสวัสดิการอย่างไร

ข้อมูลจาก กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 จำนวนผู้ประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 11,627,130 คน คิดเป็น 17.57% ของประชากรทั้งหมดซึ่งอยู่ที่ 66,186,727 คน โดยปัจจุบัน ข้อมูลปี 2564 ภาระทางงบประมาณจ่าย เบี้ยผู้สูงอายุ รัฐต้องจ่ายปีละ 8.2 หมื่นล้านบาท ให้กับผู้สูงอายุประมาณเกือบ 12 ล้านคน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมี พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุน ผู้สูงอายุ ได้รับสิทธิในด้านต่างๆ รวมทั้งก่อให้เกิดสิทธิประโยชน์ต่อองค์กรด้านผู้สูงอายุและประชาชน ทั่วไป เช่น เงินสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

โดยหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนรับ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ขึ้นทะเบียนรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (รับขึ้นทะเบียนทุกเดือนพฤศจิกายนของทุกปี) ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 พฤศจิกายน ของทุกปี ในวันและเวลาราชการ

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

- สัญชาติไทย

- มีอายุ 59 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

- ขอรับเบี้ยตามที่อยู่ในทะเบียนบ้าน

- ไม่เป็นผู้ที่ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเทศบาล อบต. ได้แก่ ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน ผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ที่ได้รับเงินเดือน ค่าตอบแทน รายได้ประจำ หรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่รัฐหรือเทศบาล อบต.จัดให้เป็นประจำ ยกเว้นผู้พิการและผู้ป่วยเอดส์ตามระเบียบ

ใช้เอกสารอะไรบ้าง

- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 1 ชุด

- สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 1 ชุด

- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝาก(ออมทรัพย์) จำนวน 1 ชุด

ผู้อื่นยื่นเอกสารแทนผู้สูงอายุได้หรือไม่

- สามารถยื่นเอกสารแทนผู้สูงอายุได้ และหากผู้สูงอายุมีความประสงค์โอนเงินเข้าบัญชีผู้อื่น ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ ตัวจริงพร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ อย่างละ 1 ชุด

ยื่นเอกสารแล้วจะได้รับเงินเมื่อไหร่

ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนไว้ ตั้งแต่วันที่ 1- 30 พฤศจิกายน ของทุกปี จะได้รับเงินเบี้ยยังชีพ เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ของปีถัดไป (ไม่มีการจ่ายย้อนหลัง)

ผู้สูงอายุแต่ละคนจะได้รับเงินเท่าไหร่

ปัจจุบันได้จ่ายแบบขั้นบันได ดังนี้

- อายุ 60 -69 ปี จะได้รับ 600 บาท

- อายุ 70 -79 ปี จะได้รับ 700 บาท

- อายุ 80 -89 ปี จะได้รับ 800 บาท

- อายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท

หมายเหตุ : ในกรณีผู้สูงอายุที่มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุย้ายทะเบียนบ้านให้เทศบาล หรือ อบต.ที่เคยจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดิมยังคงจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตนกว่าจะสิ้นสุดปีงบประมาณนั้น คือเดือนกันยายน

หากมีความประสงค์จะรับเบี้ยยังชีพกับเทศบาล หรือ อบต. แห่งใหม่ ต้องไปจดทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพที่เทศบาลหรือ อบต.แห่งใหม่ ภายในวันที่ 1 -30 พฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มรับเงินที่ใหม่ในเดือนตุลาคม ของปีถัดไป

ทั้งนี้ เอกสารต้องลงลายมือชื่อ สำเนาถูกต้องทุกฉบับ ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเขียนได้ ให้พิมพ์ลายมือแทน

เบี้ยยังชีพ "ผู้พิการ"

สำหรับ “เบี้ยยังชีพคนพิการ” เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่าน ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2564 ได้เห็นชอบการปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการจาก 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน สำหรับกลุ่มคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่ง คนพิการทุกคนที่มีสมุด/บัตรประจำตัวคนพิการมีสิทธิลงทะเบียนขอรับ “เบี้ยความพิการ” ได้

ปัจจุบัน มีผู้มาขึ้นทะเบียนคนพิการประมาณ 2.05 ล้านคน ในจำนวนนี้แยกเป็นกลุ่มคนพิการที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มคนพิการที่อายุต่ำกว่า 18 ปี รวม 1.2 ล้านคน ซึ่งก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ปรับเพิ่มเบี้ยจาก 800 บาท เป็น 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และมีการปรับเบี้ยให้อีก 8 แสนกว่าคน ที่ยังรับเบี้ยคนพิการ 800 บาท เป็น 1,000 บาทถ้วนหน้า

การจดทะเบียนคนพิการ

คนพิการที่ประสงค์จะจดทะเบียนคนพิการ เพื่อนำ “สมุดประจำตัวคนพิการ ” ไปขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตาม พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ต้องดำเนินการ ดังนี้

สถานที่จดทะเบียน

- สำนักงานคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ กรมประชาสงเคราะห์ ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 628 2518 - 9

- สำนักงานประชาสงเคราะห์จังหวัดที่ศาลากลางจังหวัด ซึ่งเป็นภูมิลำเนา หรือจังหวัดที่คนพิการอาศัยอยู่

เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียน

- เอกสารรับรองความพิการ

- ขอได้จากสถานพยาบาลของรัฐ เช่น สถานีอนามัย โรงพยาบาลประจำอำเภอ โรงพยาบาลประจำจังหวัด และโรงพยาบาลจิตเวช เป็นต้น

- ต้นฉบับ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวต่างด้าว หรือเอกสารอื่นที่ราชการออกให้ ในกรณีเป็นเด็กที่ยังไม่มีบัตรประจำตัว ให้ใช้ใบสูติบัตรแทน

- ต้นฉบับ และสำเนาทะเบียนบ้าน 1 ใบ

- รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป

กรณีไม่สามารถไปจดทะเบียนด้วยตัวเอง

-ให้มอบผู้อื่นไปจดทะเบียนแทน โดยผู้จดทะเบียนแทน ต้องนำเอกสารสำหรับต่อไปนี้ไปสถานที่จดทะเบียน

- เอกสารสำหรับจดทะเบียนของคนพิการในข้อ 2 ทั้งหมด

เอกสารของผู้จดทะเบียนแทน

- ต้นฉบับ และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือบัตรประจำตัวต่างด้าว หรือเอกสารอื่นที่ราชการออกให้

- ต้นฉบับ และสำเนาทะเบียนบ้าน 1 ใบ

- ใบมอบอำนาจจากคนพิการ หรือหนังสือรับรองจากทางราชการ ซึ่งขอได้จากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายอำเภอ เป็นต้น

- คำสั่งศาลในกรณีที่ศาลสั่งให้คนพิการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ หรือไร้ความสามารถ โดยคำสั่งศาลเรื่องการจัดตั้งผู้ปกครองคนพิการ ในกรณีที่คนพิการไม่มีบิดามารดา หรือบิดามารดาถูกถอนอำนาจปกครองคนพิการ

- สมุดประจำตัวคนพิการ

- คนพิการที่จดทะเบียนแล้ว จะได้รับสมุดประจำตัวคนพิการ ซึ่งต้องนำไปแสดงเพื่อขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ อนึ่ง สมุดประจำตัวคนพิการมีอายุ 5 ปี เมื่อหมดกำหนดต้องไปจดทะเบียนใหม่ ถ้าสมุดประจำตัวคนพิการสูญหาย ให้แจ้งความที่สถานีตำรวจ และนำใบแจ้งความไปขอยื่นจดทะเบียนใหม่

อ้างอิง : กรมกิจการผู้สูงอายุ , กระทรวงแรงงาน

ขอบคุณ... https://www.bangkokbiznews.com/news/961225

ที่มา: bangkokbiznews.com /มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 20 ก.ย.64
วันที่โพสต์: 22/09/2564 เวลา 10:40:47 ดูภาพสไลด์โชว์ "เบี้ยผู้สูงอายุ" และ "เบี้ยผู้พิการ" ลงทะเบียน สมัครรับสวัสดิการอย่างไร