“คุณภาพชีวิตหลังเล่นกีฬาต่ำมาก” คุยกับ อดีตนักกรีฑาคนพิการทางสายตาทีมชาติ ถึง ‘โควตาหวย’ โอกาสปลายทางสายกีฬา
“นักกีฬาเมื่อคุณแข่งเสร็จแล้ว คุณพ้นสภาพไปแล้ว มันหมดภาระหน้าที่ที่เขาจะดูแลแล้ว” ไม่ใช่แค่คำพูดเลื่อนลอย แต่เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษร จากสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย ถึง ศุภชัย อดีตนักกีฬากรีฑาคนพิการทีมชาติไทย ครั้งที่เจ้าตัวถามหาโควตาสลากฯ ที่ไม่เคยถึงมือ
กลายเป็นหนึ่งประเด็นร้อนส่งท้ายปี สำหรับการจัดสรรโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ภายหลัง สส.พรรคประชาชน เปิดข้อพิรุธว่ามีการจัดสรรผิดวัตถุประสงค์ เปิดช่องให้บุคคลอื่นหาประโยชน์ จากโควตาสำหรับสมาคม มูลนิธิ และองค์กรการกุศล
โดย ‘ผู้พิการ’ เป็นเป้าหมายหนึ่งของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่อยากส่งเสริมการดำเนินชีวิต จึงจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาล และสลากบำรุงการกุศล ให้ผู้พิการรายย่อย 46,175 เล่ม ให้ผ่านสมาคมผู้พิการ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย และองค์การทหารผ่านศึกอีก 153,927 เล่ม รวมแล้ว 200,155 เล่ม จากสลากที่พิมพ์จำหน่ายทั้งหมด 740,000 เล่ม
ทว่า 2 ปี ในการต่อสู้ของ ศุภชัย สงพินิจ อดีตนักกีฬากรีฑาคนพิการทีมชาติไทย กับการไร้โควตาสลากในมือ เป็นหนึ่งเสียงยืนยันความไม่ปกติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย
เส้นทางชีวิตสายกีฬา
ต้นทุนต่ำและเข้าถึงได้ง่าย จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ศุภชัย ได้รู้จักกับกรีฑา จากการชักนำของคุณครูในโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคใต้ ทั้งที่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่า “คนตาบอดจะวิ่งกันได้ยังไง” นานเข้าเป้าหมายชัดเจนขึ้น ร่วมเข้าแข่งขันมากขึ้น ศุภชัย สะสมประสบการณ์จนถึงระดับทีมชาติ เผลอไม่นานรับใช้ชาติมาราว 27 ปีแล้ว โดยทิ้งท้ายที่กัมพูชา ในกีฬาซีเกมส์ 2566
ตั้งแต่อายุ 12 ปี ที่เริ่มวิ่ง ศุภชัย ผ่านมาแล้วทั้งอาเซียนพาราเกมส์ เอเชียนพาราเกมส์ มีเหรียญทองติดมือแล้วกว่า 60 เหรียญ อีกทั้งได้เข้าร่วมพาราลิมปิกเกมส์ ที่เป็นฝันของนักกีฬาทั่วโลก
“คุณยกผมก็ยก หมดเป็นหมด ล้มคือล้ม” ศุภชัย กล่าวถึงเสน่ห์ของกรีฑา ซึ่งไม่ซับซ้อน ไม่พึ่งพิงอุปกรณ์เกินไปกว่าศักยภาพของนักกีฬา และการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบ
เขาเล่าถึงความต่างกับนักกีฬาปกติ ที่ความมั่นใจส่วนหนึ่งมาจากการประเมินสภาพแวดล้อมโดยรอบ ทั้งสนามแข่ง คู่แข่ง ทว่า กรีฑาสำหรับผู้พิการ จะแบ่งตามประเภทของความพิการ อย่างความผิดปกติทางสายตา นักกีฬามักวิตกกังวลมากกว่าคนปกติ เพราะต้องอาศัยความเชื่อใจในไกด์นำทาง ผลแพ้ชนะจึงตัดสินกัน ด้วยความนิ่งและสมาธิ
“ลงสนามเท่ากันหมดทุกคน ที่เหลือมาวัดที่ความทนทาน และการฝึกซ้อม ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์เยอะ”
เรื่องเล่าที่ ศุภชัย ถ่ายทอดออกมา เต็มไปด้วยพลังและความสุขผ่านน้ำเสียง จนสัมผัสได้แต่แล้วปลายทางก็ไม่ได้ราบรื่นไปทั้งหมด
“จริงๆ ไม่อยากหยุดแค่นั้น แต่รู้สึกว่าผลประโยชน์นักกีฬาน้อย โดนเบียดบังเยอะ อนาคตอาจกลับเข้าไปอีก เพราะผมก็คิดว่าเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง”
ทำไมโควตาสลาก ถึงสำคัญกับนักกีฬาผู้พิการทางสายตา?
นักกีฬาทั่วไปเมื่อสิ้นสุดเส้นทางอาชีพ โอกาสที่ตามมามักอยู่ในหน่วยงานของรัฐ ทั้งการติดยศเป็นทหาร ตำรวจ รับราชการครู พนักงานในหน่วยงานรัฐ รวมทั้งต่อยอดในสายกีฬา ทว่า โอกาสเช่นนั้นไม่เคยตกมาถึงกลุ่มผู้พิการ
‘สลากฯ’ จึงคล้ายเป็นโอกาส ที่ทุกคนต่างต้องการคว้าเอาไว้ ตามความเห็นของ ศุภชัย ถึงได้เกิดการเรียกร้องสิทธิ เพื่อเลี้ยงปากท้อง ที่เขาเดินหน้ามาตั้งแต่ปี 2566 หลังทราบว่าสมาคมที่ตัวเองสังกัดได้รับการจัดสรรโควตา แต่ติดปัญหาการไม่ได้เป็น ‘สมาชิก’
ไม่รู้ว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่าความผิดพลาดได้ไหม หรือต้องทวงถามความรับผิดชอบกับใคร เมื่อนักกีฬาผู้พิการทางสายตาจำนวนมาก เข้าใจตรงกันว่า การขึ้นทะเบียนกับการกีฬาแห่งประเทศไทย ทำให้พวกเขาเป็นสมาชิกโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ได้รับการจัดสรรโควตา เช่นเดียวกับเพื่อนนักกีฬาคนอื่นๆ
ข้อสงสัยที่ยังไร้คำตอบ
อย่างที่เล่าถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสรรโควตาตอนต้น ว่าเป็นไปเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้พิการ เงื่อนไขหนึ่งจึงกำหนดให้แต่ละสมาคมฯ ต้องแจกจ่ายไปยังสมาชิกรายย่อย ทว่า กลับเปิดช่อง ให้โควตาที่มอบให้เป็นไปตามที่แต่ละสมาคมฯ จัดสรรได้เลย
ศุภชัยตั้งข้อสังเกตว่า นักกีฬาผู้พิการทางสายตาราว 200 กลับไม่มีใครเคยได้รับโควตา อีกทั้งเอกสารรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรรก็ชวนสงสัย “จาก 2,647 เล่ม ถ้าได้คนละห้าเล่ม ก็ได้ราว 200 กว่าคน แต่จัดมาคนละ 50 เล่ม ก็ได้รับไปแค่ 150 กว่าคน”
ศุภชัย เล่าว่า รายชื่อมีกลุ่มคนที่มีนามสกุลเดียวกัน เป็นเครือญาติกัน ได้รับการจัดสรรรวมๆ ราว 40-50 เล่ม ทั้งที่ต้นทุนต่อเล่ม อยู่ที่ราว 7,000 บาท จะเป็นไปได้อย่างไร ถึงตอนนี้ผ่านไป 2 ปี ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สมาคมฯ มีการเรียกผู้พิการให้เข้าไปลงทะเบียนสมาชิกใหม่ โดยที่ไม่ได้มีการตรวจสอบกับผู้ที่ใช้ช่องโหว่หาประโยชน์เลย
ที่ผ่านมาเจ้าตัวเดินทางไปทั้ง ป.ป.ท. ป.ป.ช. กระทรวงยุติธรรม รวมถึงดีเอสไอ แต่คำตอบที่ได้ คือไม่มีอำนาจดูแล ก่อนจะโยนกันไปกันมา
“ผมเป็นประชาชนคนพิการที่หอบหลักฐานมา ถ้าผมมีอยู่เท่านี้ ถ้าผมมีหลักฐานมากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องมีองค์กรรับผิดชอบ ท่านต้องการให้ผมหาหลักฐานชี้ผิด 100% ว่าเขาผิดจริง”
“ขายยังไง 13 วัน ได้ 20 ล้าน” ยังคงสงสัยของ ศุภชัย มาถึงตอนนี้ เมื่อมีการเปิดเผยเส้นทางเงินที่วกกลับมาที่ผู้รับมอบอำนาจของสมาคมฯ ตอกย้ำความผิดปกติว่า สมาคมฯ กำลังวางตัวเป็นพ่อค้าคนกลาง หรือ ยี่ปั๊วเสียเอง ด้วยการรวมสลากฯ ขายเป็นก้อน และเป็นหนึ่งสาเหตุของการขายสลากฯ เกินราคา ณ ปัจจุบัน
“ไปในสถานที่ต่างๆ อาจเห็นคนตาบอดเปิดหมวก ทำกิจกรรมขายงานฝีมือเล็กๆ ท่านรู้ไหมบ้างคนเป็นนักกีฬาทีมชาตินะ แต่คุณภาพชีวิตหลังเล่นกีฬามันต่ำมาก”
การทำอาชีพสุจริตนั้นดีอยู่แล้ว เพียงแต่ในเมื่อมีโอกาสให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ท่ามกลางตัวเลือกทางอาชีพที่น้อยอยู่แล้วของผู้พิการ จึงไม่ควรปล่อยให้เกิดช่องโหว่ให้มีผู้มาหาประโยชน์ ตามความเห็นของศุภชัย
ขอบคุณ... https://www.workpointtoday.com/government-lottery-quota-783040



