‘ณรงค์’โชว์ผลงานด้านสังคม ดูแลคนพิการ-ผู้สูงอายุ ผลงานยับยั้งเอดส์ระดับโลก

แสดงความคิดเห็น

พล.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 2 ปี ด้านสังคม

“ณรงค์” โชว์ผลงานด้านสังคมช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 2 ปี ด้านสังคมว่า รัฐบาลมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการวางรากฐานทางสังคมให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง โดยมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อมุ่งสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ประเทศที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนรับผิดชอบงานด้านสังคม โดยการกำกับการบริหารราชการแผ่นดินใน 2 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ 1 ส่วนราชการที่สำคัญ คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งให้ตนรับผิดชอบงานการขับเคลื่อนเชิงนโยบายของคณะกรรมการระดับชาติด้านสังคม 17 คณะ ตลอดจนรับผิดชอบงานการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งนับว่าเป็นงานสำคัญและมีเป้าหมายหลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาด้านสังคมของรัฐบาล ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีผลงานเป็นที่ปรากฏชัดและเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง โดยจะขอกล่าวสรุปภาพรวมผลงานแบ่งตามนโยบายสำคัญ 2 ประการ ดังนี้ ผลการดำเนินงานตามนโยบายการยกระดับคุณภาพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ รัฐบาลได้พัฒนาและวางระบบการดูแลสุขภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยได้จัดให้มีแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุข นักกายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย ในระดับตำบล เรียกว่า “ทีมหมอครอบครัว” ซึ่งทีมหมอครอบครัว 1 ทีม จะรับผิดชอบดูแลประชาชน 10,000 คน รวมทั้งได้ยกระดับศูนย์สุขภาพชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็น “คลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)” เพื่อให้บริการประชาชนทุกกลุ่มวัยตั้งแต่การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ป้องกันและรักษาโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ และคุ้มครองผู้บริโภค

ซึ่งทีมหมอครอบครัวที่ได้จัดตั้งขึ้นนี้ จะทำงานทั้งในที่คลินิกหมอครอบครัว ออกเยี่ยมประชาชนตามบ้าน และให้คำปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพผ่านทางโทรศัพท์และโซเชียลมีเดียต่างๆ ตลอดเวลา และในอนาคตรัฐบาลจะพัฒนาระบบนี้ให้มีความครอบคลุมประชาชนมากขึ้น เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น และพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญสูงขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาระบบการรักษาพยาบาลเจ็บป่วยฉุกเฉินใช้สิทธิได้ทุกโรงพยาบาลตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิ์” ซึ่งทำให้ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงมือแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกโรงพยาบาลมีความพร้อมในระบบการสำรองเตียง และประชาชนไม่ต้องจ่ายเงิน โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐอีกต่อไป โดยในปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วประมาณร้อยละ 70 ส่วนระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้พัฒนาให้มีความรวดเร็วในการให้บริการเพิ่มมากขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการติดต่อ 1169 ซึ่งเป็นความร่วมมือกันตามกลไกประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน กองทุน ศูนย์ 1169 จังหวัด และภาคประชาชน

พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า การพัฒนาสู่การเป็น Innovation Thailand 4.0 ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์มาดูแลผู้ป่วยแบบผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเพิ่มทางเลือกในการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชน โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป จัดคลินิกบริการแพทย์แผนไทยอย่างน้อย 1 คลินิก เพื่อรักษาโรคทั่วไปและเฉพาะโรค เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ไมเกรน ข้อเข่าเสื่อม และภูมิแพ้ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะส่งเสริมการวิจัยในด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้นและจะจัดตั้งกลุ่มงานการแพทย์แผนไทยในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดต่อไป ส่วนระบบการป้องกันการระบาดของโรคอุบัติใหม่นั้น ได้พัฒนาศักยภาพทั้งในส่วนของการเตรียมความพร้อม การเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบโต้ จนมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของคนต่างชาติที่มีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการโดยรวมของประเทศ

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการสาธารณสุขของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติบัตรจากองค์การอนามัยโลกรับรองว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จ ในการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกตามเป้าหมาย คือ มีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 2 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียและเป็นประเทศที่สองของโลก ในเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลจะรักษามาตรฐานการทำงานมุ่งสู่การยุติปัญหาเอดส์ในกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ต่อไปในอนาคต

พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาระบบสวัสดิการและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้น ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายเรื่องนี้หลายประการที่สำคัญ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานและมีความเหมาะสมสำหรับผู้มีรายได้น้อย ประมาณ 2.7 ล้านครัวเรือน ตามโครงการสำคัญในปี 2559 ได้แก่ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” และการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนให้ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ รัฐบาลได้เพิ่มเงินอุดหนุนจากรายละ 400 บาทต่อเดือน เป็น 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุมเด็กตั้งแต่ 1-3 ขวบ ซึ่งในปี 2558 มีผู้ลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 136,490 คน การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รัฐบาลได้ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการจากเดิมเดือนละ 500 บาท เป็นเดือนละ 800 บาทต่อคน ปัจจุบันมีผู้พิการได้รับประโยชน์แล้วจำนวน 1,384,734 คน และได้ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการต่างๆ รวมทั้งได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและทุกคนในสังคม หรืออารยสถาปัตย์ โดยได้ขยายไปยังพื้นที่ชุมชนต้นแบบใน 33 จังหวัดทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยรัฐบาลได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมคนทุกวัยเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสในการทำงานและสร้างความมั่นคงด้านรายได้ สร้างความเข้มแข็งของชมรมคลังปัญญาผู้สูงอายุ โดยการปรับปรุงทะเบียนคลังปัญญาผู้สูงอายุให้เป็นปัจจุบัน และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำประโยชน์เพื่อสังคม อย่างต่อเนื่อง

พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวอีกว่า สำหรับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์นั้น ประเทศไทยได้รับการปรับระดับให้ดีขึ้นจากระดับ 3 มาอยู่ในระดับ 2 ที่ต้องจับตามอง อันมีผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปิดจุดอ่อนทางกฎหมาย เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย ให้การคุ้มครองช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชน และป้องกันกลุ่มเสี่ยงในทุกรูปแบบอย่างเป็นระบบและจริงจัง

ขอบคุณ... http://www.matichon.co.th/news/286639 (ขนาดไฟล์: 167)

ที่มา: matichon.co.thออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 15 ก.ย.59
วันที่โพสต์: 16/09/2559 เวลา 11:14:51 ดูภาพสไลด์โชว์ ‘ณรงค์’โชว์ผลงานด้านสังคม ดูแลคนพิการ-ผู้สูงอายุ ผลงานยับยั้งเอดส์ระดับโลก

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

พล.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 2 ปี ด้านสังคม “ณรงค์” โชว์ผลงานด้านสังคมช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 กันยายน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 2 ปี ด้านสังคมว่า รัฐบาลมุ่งเน้นการดำเนินงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่ไปกับการวางรากฐานทางสังคมให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง โดยมีทิศทางการพัฒนาที่ชัดเจนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อมุ่งสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ประเทศที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนรับผิดชอบงานด้านสังคม โดยการกำกับการบริหารราชการแผ่นดินใน 2 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ 1 ส่วนราชการที่สำคัญ คือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งให้ตนรับผิดชอบงานการขับเคลื่อนเชิงนโยบายของคณะกรรมการระดับชาติด้านสังคม 17 คณะ ตลอดจนรับผิดชอบงานการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านระบบสาธารณสุข ซึ่งนับว่าเป็นงานสำคัญและมีเป้าหมายหลักเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาด้านสังคมของรัฐบาล ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา มีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และมีผลงานเป็นที่ปรากฏชัดและเป็นรูปธรรมหลายเรื่อง โดยจะขอกล่าวสรุปภาพรวมผลงานแบ่งตามนโยบายสำคัญ 2 ประการ ดังนี้ ผลการดำเนินงานตามนโยบายการยกระดับคุณภาพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ รัฐบาลได้พัฒนาและวางระบบการดูแลสุขภาพของประชาชนให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยได้จัดให้มีแพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิชาการสาธารณสุข นักกายภาพบำบัด และแพทย์แผนไทย ในระดับตำบล เรียกว่า “ทีมหมอครอบครัว” ซึ่งทีมหมอครอบครัว 1 ทีม จะรับผิดชอบดูแลประชาชน 10,000 คน รวมทั้งได้ยกระดับศูนย์สุขภาพชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็น “คลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)” เพื่อให้บริการประชาชนทุกกลุ่มวัยตั้งแต่การดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน ป้องกันและรักษาโรค ฟื้นฟูสมรรถภาพ และคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งทีมหมอครอบครัวที่ได้จัดตั้งขึ้นนี้ จะทำงานทั้งในที่คลินิกหมอครอบครัว ออกเยี่ยมประชาชนตามบ้าน และให้คำปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพผ่านทางโทรศัพท์และโซเชียลมีเดียต่างๆ ตลอดเวลา และในอนาคตรัฐบาลจะพัฒนาระบบนี้ให้มีความครอบคลุมประชาชนมากขึ้น เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้โดยสะดวกมากยิ่งขึ้น และพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญสูงขึ้นต่อไป นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาระบบการรักษาพยาบาลเจ็บป่วยฉุกเฉินใช้สิทธิได้ทุกโรงพยาบาลตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ดีทุกสิทธิ์” ซึ่งทำให้ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงมือแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว ทุกโรงพยาบาลมีความพร้อมในระบบการสำรองเตียง และประชาชนไม่ต้องจ่ายเงิน โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลของรัฐอีกต่อไป โดยในปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมแล้วประมาณร้อยละ 70 ส่วนระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้พัฒนาให้มีความรวดเร็วในการให้บริการเพิ่มมากขึ้นด้วยการเพิ่มช่องทางการติดต่อ 1169 ซึ่งเป็นความร่วมมือกันตามกลไกประชารัฐที่มีส่วนร่วมทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน กองทุน ศูนย์ 1169 จังหวัด และภาคประชาชน พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า การพัฒนาสู่การเป็น Innovation Thailand 4.0 ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์มาดูแลผู้ป่วยแบบผสมผสานกับการแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเพิ่มทางเลือกในการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชน โดยมีเป้าหมายให้โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป จัดคลินิกบริการแพทย์แผนไทยอย่างน้อย 1 คลินิก เพื่อรักษาโรคทั่วไปและเฉพาะโรค เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ไมเกรน ข้อเข่าเสื่อม และภูมิแพ้ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตรัฐบาลจะส่งเสริมการวิจัยในด้านนี้ให้เพิ่มมากขึ้นและจะจัดตั้งกลุ่มงานการแพทย์แผนไทยในสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดต่อไป ส่วนระบบการป้องกันการระบาดของโรคอุบัติใหม่นั้น ได้พัฒนาศักยภาพทั้งในส่วนของการเตรียมความพร้อม การเฝ้าระวัง ตรวจจับ และตอบโต้ จนมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นในสายตาของคนต่างชาติที่มีผลอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและบริการโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ ความสำเร็จของการสาธารณสุขของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติบัตรจากองค์การอนามัยโลกรับรองว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จ ในการยุติการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีและซิฟิลิสจากแม่สู่ลูกตามเป้าหมาย คือ มีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 2 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียและเป็นประเทศที่สองของโลก ในเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลจะรักษามาตรฐานการทำงานมุ่งสู่การยุติปัญหาเอดส์ในกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ต่อไปในอนาคต พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาระบบสวัสดิการและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้น ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ประชาชนได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายเรื่องนี้หลายประการที่สำคัญ เช่น การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานและมีความเหมาะสมสำหรับผู้มีรายได้น้อย ประมาณ 2.7 ล้านครัวเรือน ตามโครงการสำคัญในปี 2559 ได้แก่ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าว แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” และการจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเงินอุดหนุนการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนให้ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ รัฐบาลได้เพิ่มเงินอุดหนุนจากรายละ 400 บาทต่อเดือน เป็น 600 บาทต่อเดือน ครอบคลุมเด็กตั้งแต่ 1-3 ขวบ ซึ่งในปี 2558 มีผู้ลงทะเบียนขอรับเงินอุดหนุนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 136,490 คน การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ รัฐบาลได้ปรับเพิ่มสวัสดิการเบี้ยความพิการจากเดิมเดือนละ 500 บาท เป็นเดือนละ 800 บาทต่อคน ปัจจุบันมีผู้พิการได้รับประโยชน์แล้วจำนวน 1,384,734 คน และได้ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและสถานประกอบการต่างๆ รวมทั้งได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและทุกคนในสังคม หรืออารยสถาปัตย์ โดยได้ขยายไปยังพื้นที่ชุมชนต้นแบบใน 33 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยรัฐบาลได้มีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมคนทุกวัยเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีคุณภาพ พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ เพิ่มโอกาสในการทำงานและสร้างความมั่นคงด้านรายได้ สร้างความเข้มแข็งของชมรมคลังปัญญาผู้สูงอายุ โดยการปรับปรุงทะเบียนคลังปัญญาผู้สูงอายุให้เป็นปัจจุบัน และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำประโยชน์เพื่อสังคม อย่างต่อเนื่อง พล.ร.อ.ณรงค์กล่าวอีกว่า สำหรับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์นั้น ประเทศไทยได้รับการปรับระดับให้ดีขึ้นจากระดับ 3 มาอยู่ในระดับ 2 ที่ต้องจับตามอง อันมีผลสืบเนื่องมาจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปิดจุดอ่อนทางกฎหมาย เร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย ให้การคุ้มครองช่วยเหลือตามหลักสิทธิมนุษยชน และป้องกันกลุ่มเสี่ยงในทุกรูปแบบอย่างเป็นระบบและจริงจัง ขอบคุณ... http://www.matichon.co.th/news/286639

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...