กกต.จัดมาตรการช่วยคนพิการลงประชามติ7สิงหา
กกต.ลุย อผศ.ประกาศความร่วมมือรณรงค์ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติ ลั่น กกต.พร้อมเข้า สู่ช่วงทางตรงสุดท้าย เตรียมพร้อมหน่วยออกเสียงประชามติ 1 แสนหน่วย 7 ส.ค. จัดมาตรการช่วยคนพิการย้ำไม่ชี้นำเชื่อปชช.ออกมาใช้สิทธิมากกว่าปี50
เมื่อวันที่ 27 ก.ค.59 ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) นายประวิช รัตนเพียร คณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง "ประกาศความร่วมมือรณรงค์ ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติ" ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของ อผศ. เพื่อทำความ เข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค.59 พร้อมกับสาธิตการ ลงคะแนนออกเสียงประชามติสำหรับผู้พิการ เนื่องจาก อผศ.เป็นหน่วยงานที่ดูแลทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการซึ่งมีผู้พิการทุพพลภาพจากการรบที่อยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก
นายประวิช กล่าวตอนหนึ่งว่า การทำประชามติครั้งนี้ กกต.ใช้ทุกช่องทาง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เช่น แอพพลิเคชั่น ไลน์ เฟซบุ๊ก รวมถึงสื่อหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ ประชาชนผู้มีสิทธิออกมาใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้สุจริตและเที่ยงธรรม โดยจัดหน่วยออกเสียงประชามติประมาณ 1 แสนหน่วยทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด เพราะถือเป็นมาตรฐานในการจัดการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ ทุกคนสามารถไว้ใจได้ และ กกต.พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ช่วงทางตรงสุดท้าย คือการเตรียมคนจำนวน 1 ล้านคน ทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วย ส่วนเรื่องบัตรออกเสียงจะใช้บัตร 1 ใบ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องร่างรัฐธรรมนูญว่าเห็นด้วยทั้งฉบับหรือไม่ และส่วนที่ 2 เป็นคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเห็นว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ควรให้รัฐสภามีส่วนเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เมื่อเข้าไปในคูหาก็ใช้สิทธิเห็นชอบหรือไม่สุดแล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน ซึ่งบ้านเมืองขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไรส่วนกกต.นั้นทำตามหน้าที่
นายประวิช กล่าวต่อว่า การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 50 มีผู้มาใช้สิทธิคิดเป็น 57% ถือเป็นจำนวนของน้อยในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ทาง กกต.ตั้งเป้ากดดันตัวเองไว้ 80%เพราะการทำประชามติไม่เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปที่มีคนไปหาเสียงเสนอนโยบายพรรคและเคาะประตูตามบ้าน การทำประชามติเป็นเพียงการออกมาบอกในภาพรวมและให้ประชาชนได้ศึกษา ดังนั้นทั่วโลกจึงเหมือนกัน อีกทั้งกฎหมายระบุว่าให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ถ้าไม่ออกไปใช้สิทธิก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่การทำประชามตินั้นไม่มี กกต.จึงพยายามเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิให้มากที่สุด เหลือเวลาอีก 12 วัน ดังนั้นขอให้ทุกคนช่วยกัน เพราะการออกเสียงประชามติถือเป็นวาระสำคัญของชาติที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงผลว่าจะเห็นชอบหรือไม่ แต่สาระสำคัญอยู่ที่คนไทยต้องออกไปช่วยกันตัดสินใจตนเชื่อว่าการลงประชามติในครั้งนี้จะมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี50
นอกจากนี้ นายประวิช ยังให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการช่วยเหลือคนพิการที่จะไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติว่า สำหรับผู้พิการทางสายตาได้มีการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วยอักษรเบรลล์ มีการแจกจ่ายไปตามมูลนิธิทางสายตาต่างๆ ส่วนผู้พิการทางขาที่ต้องใช้วีลแชร์ จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ ทั้งนี้ขอย้ำว่าการออกเสียงลงประชามติต้องอยู่ภายใต้หลักการสากลที่ต้องสุจริตเที่ยงธรรม และเป็นความลับ การอำนวยความสะดวกดังกล่าวจะช่วยจนถึงหน้าคูหาการออกเสียง ซึ่งทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ปรับกฎหมายละเว้นให้ผู้พิการแขนทั้ง 2 ข้างที่ไม่สามารถกากบาทได้ สามารถให้ญาติเข้าไปช่วยเหลือได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ อย่างไรก็ตามตนขอย้ำว่าแนวทางนี้จะไม่มีการชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นไปตามหลักสากล ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปอำนวยความสะดวกจะช่วยพาเข้าไปเพียงแค่หน้าคูหา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะไม่อยู่ภายในคูหาโดยจะปล่อยให้เป็นตามดุลยพินิจของผู้มาใช้สิทธิเอง
สำหรับการอำนวยความสะดวกในการขนประชาชนไปลงประชามติ นายประวิช กล่าวว่า ต้องเข้าใจการขนประชาชนโดยหน่วยงานของรัฐแม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ กกต.มีความเห็นว่าการใช้ยานพาหนะของรัฐ ขอให้ทำเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริงๆ ในการอำนวยความสะดวกเท่านั้น อาทิ ผู้พิการถ้ามีความประสงค์จะไปใช้สิทธิ ทางหน่วยงานของรัฐต้องอำนวยความสะดวก
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เอกสารการออกเสียงประชามติของ กกต.เข้าข่ายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ นายประวิช กล่าวว่า กระบวนการเผยแพร่จัดพิมพ์เอกสารของ กกต.แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.กติกาต่างๆ ที่จะให้การออกเสียงประชามติได้ไม่ผิดพลาดและบกพร่องเป็นหน้าที่ของกกต. 2.เนื้อหาสาระ และสรุปเรื่องต่างๆ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ 3.คำถามเพิ่มเติมและคำอธิบายต่างๆ นั้นมาจาก สนช. เพราะฉะนั้นกกต.ยึดตามหลักนี้.
ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/674471
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
นายประวิช รัตนเพียร คณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) กกต.ลุย อผศ.ประกาศความร่วมมือรณรงค์ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติ ลั่น กกต.พร้อมเข้า สู่ช่วงทางตรงสุดท้าย เตรียมพร้อมหน่วยออกเสียงประชามติ 1 แสนหน่วย 7 ส.ค. จัดมาตรการช่วยคนพิการย้ำไม่ชี้นำเชื่อปชช.ออกมาใช้สิทธิมากกว่าปี50 เมื่อวันที่ 27 ก.ค.59 ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) นายประวิช รัตนเพียร คณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง "ประกาศความร่วมมือรณรงค์ ประชาสัมพันธ์การออกเสียงประชามติ" ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและเจ้าหน้าที่ของ อผศ. เพื่อทำความ เข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค.59 พร้อมกับสาธิตการ ลงคะแนนออกเสียงประชามติสำหรับผู้พิการ เนื่องจาก อผศ.เป็นหน่วยงานที่ดูแลทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก และทหารนอกประจำการซึ่งมีผู้พิการทุพพลภาพจากการรบที่อยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก นายประวิช กล่าวตอนหนึ่งว่า การทำประชามติครั้งนี้ กกต.ใช้ทุกช่องทาง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เช่น แอพพลิเคชั่น ไลน์ เฟซบุ๊ก รวมถึงสื่อหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ ประชาชนผู้มีสิทธิออกมาใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้สุจริตและเที่ยงธรรม โดยจัดหน่วยออกเสียงประชามติประมาณ 1 แสนหน่วยทั่วประเทศ เพื่อเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด เพราะถือเป็นมาตรฐานในการจัดการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ ทุกคนสามารถไว้ใจได้ และ กกต.พร้อมแล้วที่จะเข้าสู่ช่วงทางตรงสุดท้าย คือการเตรียมคนจำนวน 1 ล้านคน ทำหน้าที่เป็นกรรมการประจำหน่วย ส่วนเรื่องบัตรออกเสียงจะใช้บัตร 1 ใบ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องร่างรัฐธรรมนูญว่าเห็นด้วยทั้งฉบับหรือไม่ และส่วนที่ 2 เป็นคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเห็นว่าช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ควรให้รัฐสภามีส่วนเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เมื่อเข้าไปในคูหาก็ใช้สิทธิเห็นชอบหรือไม่สุดแล้วแต่ความเห็นของแต่ละคน ซึ่งบ้านเมืองขณะนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไรส่วนกกต.นั้นทำตามหน้าที่ นายประวิช กล่าวต่อว่า การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 50 มีผู้มาใช้สิทธิคิดเป็น 57% ถือเป็นจำนวนของน้อยในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ทาง กกต.ตั้งเป้ากดดันตัวเองไว้ 80%เพราะการทำประชามติไม่เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไปที่มีคนไปหาเสียงเสนอนโยบายพรรคและเคาะประตูตามบ้าน การทำประชามติเป็นเพียงการออกมาบอกในภาพรวมและให้ประชาชนได้ศึกษา ดังนั้นทั่วโลกจึงเหมือนกัน อีกทั้งกฎหมายระบุว่าให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ถ้าไม่ออกไปใช้สิทธิก็จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง แต่การทำประชามตินั้นไม่มี กกต.จึงพยายามเชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิให้มากที่สุด เหลือเวลาอีก 12 วัน ดังนั้นขอให้ทุกคนช่วยกัน เพราะการออกเสียงประชามติถือเป็นวาระสำคัญของชาติที่ไม่ต้องไปคำนึงถึงผลว่าจะเห็นชอบหรือไม่ แต่สาระสำคัญอยู่ที่คนไทยต้องออกไปช่วยกันตัดสินใจตนเชื่อว่าการลงประชามติในครั้งนี้จะมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่าการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี50 นอกจากนี้ นายประวิช ยังให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการช่วยเหลือคนพิการที่จะไปใช้สิทธิออกเสียงประชามติว่า สำหรับผู้พิการทางสายตาได้มีการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญด้วยอักษรเบรลล์ มีการแจกจ่ายไปตามมูลนิธิทางสายตาต่างๆ ส่วนผู้พิการทางขาที่ต้องใช้วีลแชร์ จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้ ทั้งนี้ขอย้ำว่าการออกเสียงลงประชามติต้องอยู่ภายใต้หลักการสากลที่ต้องสุจริตเที่ยงธรรม และเป็นความลับ การอำนวยความสะดวกดังกล่าวจะช่วยจนถึงหน้าคูหาการออกเสียง ซึ่งทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ปรับกฎหมายละเว้นให้ผู้พิการแขนทั้ง 2 ข้างที่ไม่สามารถกากบาทได้ สามารถให้ญาติเข้าไปช่วยเหลือได้ แต่ทุกอย่างต้องเป็นความลับ อย่างไรก็ตามตนขอย้ำว่าแนวทางนี้จะไม่มีการชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น และเป็นไปตามหลักสากล ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปอำนวยความสะดวกจะช่วยพาเข้าไปเพียงแค่หน้าคูหา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะไม่อยู่ภายในคูหาโดยจะปล่อยให้เป็นตามดุลยพินิจของผู้มาใช้สิทธิเอง สำหรับการอำนวยความสะดวกในการขนประชาชนไปลงประชามติ นายประวิช กล่าวว่า ต้องเข้าใจการขนประชาชนโดยหน่วยงานของรัฐแม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ กกต.มีความเห็นว่าการใช้ยานพาหนะของรัฐ ขอให้ทำเฉพาะเท่าที่จำเป็นจริงๆ ในการอำนวยความสะดวกเท่านั้น อาทิ ผู้พิการถ้ามีความประสงค์จะไปใช้สิทธิ ทางหน่วยงานของรัฐต้องอำนวยความสะดวก เมื่อถามถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เอกสารการออกเสียงประชามติของ กกต.เข้าข่ายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ นายประวิช กล่าวว่า กระบวนการเผยแพร่จัดพิมพ์เอกสารของ กกต.แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.กติกาต่างๆ ที่จะให้การออกเสียงประชามติได้ไม่ผิดพลาดและบกพร่องเป็นหน้าที่ของกกต. 2.เนื้อหาสาระ และสรุปเรื่องต่างๆ เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ 3.คำถามเพิ่มเติมและคำอธิบายต่างๆ นั้นมาจาก สนช. เพราะฉะนั้นกกต.ยึดตามหลักนี้. ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/674471
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)