ชะตาชีวิตรันทด สาวบอดคดีเฟซ ป่วยมะเร็งปอด

แสดงความคิดเห็น

นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย เข้าเยี่ยมครอบครัวของน.ส.ชนัดดา สาโรจน์

เผยเหยื่อเฟซอยู่บ้านซอมซ่อใส่บิ๊กอายติดเชื้อ-มองไม่เห็นสาวกระบี่เห็นใจส่อถอนฟ้อง เผยชีวิตสาวบอดผู้ต้องหาคดีโพสต์ด่า “ตุ๊กตาลูกเทพ” สุดสลด โชคชะตาเล่นตลกตาบอดไม่พอยังเป็นมะเร็งที่ปอดอยู่ระหว่างรักษามีเพียงรายได้จากเบี้ยคนพิการกับเงินเดือนสามีเป็นช่างปั้นโรงหล่อพระที่ต่างจังหวัด โอนเงินให้เดือนละ 2 พันบาท อาศัยอยู่บ้านซอมซ่อกับพ่อแม่ย่านสวนสยาม ยันไม่เคยเล่นเฟซบุ๊ก ตามองไม่เห็น ไปไหนต้องให้ลูกสาววัย 3 ขวบกับแม่ประคองไป ขณะที่ตำรวจเจ้าของคดียันมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ

กรณีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย พา น.ส.ไพลิน เกียงขวา สาวพิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เข้ามอบตัวกับ ร.ต.อ.ณัฐภัทร พุทธังกุโร รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ หลัง น.ส.ชนัดดา สาโรจน์ ชาว จ.กระบี่ เข้าแจ้งความว่าถูก น.ส.ไพลินใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สตอเบอร์รี่ นมสด” พิมพ์ข้อความด่าทอขณะพูดคุยกันเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธอ้างเหตุพิการทางสายตาไม่สามารถก่อเหตุตามคำกล่าวหาได้ โดยอดีต ส.ส.รายนี้ ช่วยเหลือใช้เงินสด 5 หมื่นบาท ประกันตัว

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 27 พ.ย.นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตคันนายาว พร้อมด้วยนางสุภาพ เชื้อประเสริฐ อายุ 54 ปี ประธานชุมชนหมู่บ้านเก้าแสน เดินทางไปที่ทาวน์เฮาส์สองชั้นเนื้อที่ 16 ตร.ว. เลขที่ 10 ซอยสวนสยาม 16 แยก 3-5 แขวงและเขตคันนายาว กทม. ของ น.ส.ไพลิน เกียงขวา อายุ 26 ปี สาวพิการตาบอดที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาทในเฟซบุ๊ก เพื่อปรึกษาหารือแนวทางของคดีรวมทั้งให้กำลังใจกับ น.ส.ไพลินที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา โดยมีนางกรองทอง เกียงขวา อายุ 43 ปี มารดา มายืนรอหน้าบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบด้วยสายตาพบบ้านหลังดังกล่าวอยู่ในสภาพทรุดโทรม ภายในบ้านพบ น.ส.ไพลิน และ ด.ญ.กรกนก หรือน้องเจ เกียงขวา วัย 3 ขวบ บุตรสาว นั่งอยู่บนโซฟาเก่าขาด ภายในบ้านมีเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ นายพลภูมิพร้อมคณะเข้าไปทักทายพูดคุยให้กำลังใจ จน น.ส.ไพลินมีสีหน้าดีขึ้นและกล่าวขอบคุณที่อดีต ส.ส.ที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลด้านคดี

ภายหลัง น.ส.ไพลินกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า รู้สึกเครียดกับคดีที่ถูกฟ้องร้องมาก ไม่ทราบจะทำอย่างไร โชคดีที่นายพลภูมิเข้ามาช่วยเหลือประกันตัวออกมา อยากให้เรื่องนี้มันจบ คอมพิวเตอร์ก็ไม่มี ตนไม่เคยเล่นเฟซบุ๊ก ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ อยากขอร้องผู้เสียหายว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ ขอให้เข้าใจคนพิการด้วย

น.ส.ไพลินกล่าวต่ออีกว่า เคยแต่ได้ยินข่าวเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ ก็แล้วแต่คนเชื่อ ไม่เคยไปพูดเรื่องนี้กับใครเพราะที่บ้านก็มีกุมารทองอยู่ ไม่นึกว่าจะมาโดนกล่าวหา ซ้ำตาก็มองไม่เห็นจะเดินไปไหนก็ต้องให้ลูกสาวกับแม่พาไป “ทุกวันนี้ดิฉันต้องไปหาหมอที่ รพ.นพรัตนราชธานี ให้ตรวจมะเร็งปอด ซ้ำยังต้องไปหาหมอที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อตรวจตา ชีวิตก็แย่อยู่แล้ว หากโดนดำเนินคดีต้องเดินทางอีกจะหาเงินที่ไหนเป็นค่าใช้จ่าย ลำพังเบี้ยเลี้ยงคนพิการ 600 กับเงินเดือนสามีเป็นช่างปั้นอยู่โรงหล่อพระตามต่างจังหวัด ใครจ้างก็ไป ส่งมาให้เดือนละสองพันบาท ลูกสาวก็เริ่มเข้าเรียนก็ให้เรียนอยู่ในศูนย์เด็กเล็กของชุมชน โชคดีที่มีประธานหมู่บ้านคอยช่วยเหลือ ขอยืนยันว่าไม่เคยขายของผ่านทางอินเตอร์เน็ตและสามีก็ไม่เคยเพราะเล่นไม่เป็น แค่เคยถ่ายรูปคู่กับสามีโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายและขายโทรศัพท์เครื่องนั้นไปนานแล้ว” น.ส.ไพลินกล่าว

นอกจากนี้ น.ส.ไพลินยังเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาเสียดวงตาว่า ตอนนั้นเป็นวัยรุ่นอายุ 18 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.6 อยากสวยตามแฟชั่นเลยไปซื้อ “บิ๊กอาย” มาใส่ในราคา 300 บาท มาใส่ทำการบ้าน ตาอักเสบติดเชื้อเริ่มมองไม่เห็น ไปหารักษาที่ รพ.รามาธิบดี หมอบอกให้ทำใจไม่มีทางรักษาได้ หลังจากนั้นจึงไม่ได้เรียนหนังสือต่อ อยู่บ้านเฉยๆมา 7 ปี เมื่อไปตรวจร่างกายเจอมะเร็งที่ปอดและยังมาโดนแจ้งความดำเนินคดีซ้ำ ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะรันทดถึงขนาดนี้

ด้านนายพลภูมิ เปิดเผยว่า วันนี้มาเยี่ยมเป็นกำลังใจให้ น.ส.ไพลินที่ตกเป็นผู้ต้องหาที่ สภ.เมืองกระบี่ หลังจากพาเข้ามอบตัวกับตำรวจพร้อมนำหลักฐานการเป็นคนพิการทางสายตาและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปมอบให้ โดยตำรวจเจ้าของคดีรับปากว่าจะดำเนินคดีด้วยความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

“หลังผมพาคุณไพลินเข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหาย เมื่อเขาเห็นสภาพน้องแล้วก็บอกเตรียมพิจารณาดูว่าจะถอนฟ้องหรือไม่ เข้าใจว่ากรณีถูกโพสต์ข้อความที่เสียหายและตอบโต้กันจนผู้เสียหายเสื่อมเสีย ต้องรอให้ตำรวจแกะรอยหาผู้กระทำตัวจริงมาดำเนินคดี ด้านความเป็นอยู่ของครอบครัวจะดูแลสิทธิที่พึงควรได้จากคนพิการตามกฎหมาย หากเดือดร้อนเร่งด่วนให้ประสานกับประธานชุมชนในเบื้องต้น ส่วนจะตั้งทนายสู้หรือไม่นั้นเท่าที่ปรึกษาด้านคดี แนะนำให้เอาเอกสารคนพิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปต่อสู้ตามสภาพความเป็นจริงของ น.ส.ไพลิน ผู้ถูกกล่าวหาในชั้นศาล หวังว่าทุกฝ่ายคงเข้าใจและต้องการให้เรื่องนี้จบด้วยดี” นายพลภูมิกล่าว

นางกรองทอง เกียงขวา อายุ 43 ปี มารดาของ น.ส.ไพลินเปิดเผยว่า ตอนนี้กลุ้มใจกันทั้งบ้านกลัวบุตรสาวจะติดคุก ยัง งง ว่าไปโพสต์ได้อย่างไร ทั้งบ้านมีโทรศัพท์มือถืออยู่เครื่องเดียว แม่ตนซื้อไว้ก่อนตายเมื่อปีที่แล้ว ตนก็เอามาใช้ต่อไม่เคยโพสต์หาใคร ยืนยันว่าบุตรสาวและคนในครอบครัวไม่เคยโพสต์เรื่องแบบนี้ จะกินเข้าไปวันๆยังลำบาก สามีก็เป็นลูกจ้างปั๊มเดือนละหมื่นกว่าบาท มีบุตรสาว 3 คน โดย น.ส.ไพลินเป็นคนที่สอง ส่วนบุตรสาวคนเล็กก็ยังเรียนอยู่ โชคดีที่บ้านที่อยู่เป็นของแม่สามีที่เสียชีวิตไปไม่ต้องเสียค่าเช่า เสียแค่ค่าน้ำค่าไฟ อยากฝากถึงผู้เสียหายขอความเห็นใจด้วย อยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีจะได้ทำมาหากินกันต่อไป

นางสุภาพ เชื้อประเสริฐ ประธานชุมชนหมู่บ้านเก้าแสน กล่าวว่า นางกรองทองเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมานาน อยู่ในกลุ่ม อสม.ของเขตคันนายาว ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเงิน แต่นางกรองทองช่วยเหลือด้านแรงกายแรงใจมาตลอด หลังบุตรสาวถูกดำเนินคดี เจ้าตัวเกิดอาการเครียดไม่รู้จะไปพึ่งใคร เลยพาไปหาอดีต ส.ส.พลภูมิ เข้ามาช่วยเหลือ เฟอร์นิเจอร์ของเครื่องใช้ในบ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นของเก่าที่เพื่อนบ้านเอามาให้ ไม่เคยพบเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในบ้าน

อีกด้าน ร.ต.อ.ณัฐภัทร พุทธังกุโร รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ เจ้าของคดีเผยว่า หลังผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 26 ก.พ. สอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งเป็นคนพิการตาบอดให้การปฏิเสธไม่รู้เห็นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีมารดาของผู้ต้องหาและญาติร่วมสอบปากคำ โดยผู้ต้องหายืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์หรือเล่นเฟซบุ๊ก จึงสรุปการให้ปากคำเสนอไปยังอัยการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน

“คดีที่เกิดขึ้น ตำรวจมีหลักฐานการออกหมายจับคือ ภาพต่างๆ ของผู้ต้องหาที่นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ “สตอเบอร์รี่ นมสด” และหลักฐานเลขบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่รับโอนเงินเพื่อขายสินค้าเบ็ดเตล็ดผ่านทางเฟซบุ๊ก จึงน่าเชื่อได้ว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผู้เสียหายตามที่แจ้งความ ส่วนการให้ทำหนังสือไปยังกระทรวงไอซีทีเพื่อให้สืบหาผู้ใช้เฟซบุ๊กตัวจริงนั้น ไม่จำเป็น เนื่องทางไอซีทีจะแจ้งกลับมาว่าไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะเฟซบุ๊กเป็นของต่างประเทศ ยืนยันว่าคดีนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้” ร.ต.อ.ณัฐภัทรระบุ

ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/583446

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 28 ก.พ.59
วันที่โพสต์: 1/03/2559 เวลา 10:31:53 ดูภาพสไลด์โชว์ ชะตาชีวิตรันทด สาวบอดคดีเฟซ ป่วยมะเร็งปอด

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย เข้าเยี่ยมครอบครัวของน.ส.ชนัดดา สาโรจน์ เผยเหยื่อเฟซอยู่บ้านซอมซ่อใส่บิ๊กอายติดเชื้อ-มองไม่เห็นสาวกระบี่เห็นใจส่อถอนฟ้อง เผยชีวิตสาวบอดผู้ต้องหาคดีโพสต์ด่า “ตุ๊กตาลูกเทพ” สุดสลด โชคชะตาเล่นตลกตาบอดไม่พอยังเป็นมะเร็งที่ปอดอยู่ระหว่างรักษามีเพียงรายได้จากเบี้ยคนพิการกับเงินเดือนสามีเป็นช่างปั้นโรงหล่อพระที่ต่างจังหวัด โอนเงินให้เดือนละ 2 พันบาท อาศัยอยู่บ้านซอมซ่อกับพ่อแม่ย่านสวนสยาม ยันไม่เคยเล่นเฟซบุ๊ก ตามองไม่เห็น ไปไหนต้องให้ลูกสาววัย 3 ขวบกับแม่ประคองไป ขณะที่ตำรวจเจ้าของคดียันมีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธ กรณีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย พา น.ส.ไพลิน เกียงขวา สาวพิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เข้ามอบตัวกับ ร.ต.อ.ณัฐภัทร พุทธังกุโร รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ หลัง น.ส.ชนัดดา สาโรจน์ ชาว จ.กระบี่ เข้าแจ้งความว่าถูก น.ส.ไพลินใช้เฟซบุ๊กชื่อ “สตอเบอร์รี่ นมสด” พิมพ์ข้อความด่าทอขณะพูดคุยกันเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธอ้างเหตุพิการทางสายตาไม่สามารถก่อเหตุตามคำกล่าวหาได้ โดยอดีต ส.ส.รายนี้ ช่วยเหลือใช้เงินสด 5 หมื่นบาท ประกันตัว ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 27 พ.ย.นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขตคันนายาว พร้อมด้วยนางสุภาพ เชื้อประเสริฐ อายุ 54 ปี ประธานชุมชนหมู่บ้านเก้าแสน เดินทางไปที่ทาวน์เฮาส์สองชั้นเนื้อที่ 16 ตร.ว. เลขที่ 10 ซอยสวนสยาม 16 แยก 3-5 แขวงและเขตคันนายาว กทม. ของ น.ส.ไพลิน เกียงขวา อายุ 26 ปี สาวพิการตาบอดที่ถูกแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นประมาทในเฟซบุ๊ก เพื่อปรึกษาหารือแนวทางของคดีรวมทั้งให้กำลังใจกับ น.ส.ไพลินที่ตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา โดยมีนางกรองทอง เกียงขวา อายุ 43 ปี มารดา มายืนรอหน้าบ้าน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบด้วยสายตาพบบ้านหลังดังกล่าวอยู่ในสภาพทรุดโทรม ภายในบ้านพบ น.ส.ไพลิน และ ด.ญ.กรกนก หรือน้องเจ เกียงขวา วัย 3 ขวบ บุตรสาว นั่งอยู่บนโซฟาเก่าขาด ภายในบ้านมีเพียงเครื่องใช้ไฟฟ้าโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ นายพลภูมิพร้อมคณะเข้าไปทักทายพูดคุยให้กำลังใจ จน น.ส.ไพลินมีสีหน้าดีขึ้นและกล่าวขอบคุณที่อดีต ส.ส.ที่เข้ามาช่วยเหลือดูแลด้านคดี ภายหลัง น.ส.ไพลินกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่า รู้สึกเครียดกับคดีที่ถูกฟ้องร้องมาก ไม่ทราบจะทำอย่างไร โชคดีที่นายพลภูมิเข้ามาช่วยเหลือประกันตัวออกมา อยากให้เรื่องนี้มันจบ คอมพิวเตอร์ก็ไม่มี ตนไม่เคยเล่นเฟซบุ๊ก ทำไมต้องมาเป็นแบบนี้ อยากขอร้องผู้เสียหายว่าตนไม่ได้เป็นคนทำ ขอให้เข้าใจคนพิการด้วย น.ส.ไพลินกล่าวต่ออีกว่า เคยแต่ได้ยินข่าวเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ ก็แล้วแต่คนเชื่อ ไม่เคยไปพูดเรื่องนี้กับใครเพราะที่บ้านก็มีกุมารทองอยู่ ไม่นึกว่าจะมาโดนกล่าวหา ซ้ำตาก็มองไม่เห็นจะเดินไปไหนก็ต้องให้ลูกสาวกับแม่พาไป “ทุกวันนี้ดิฉันต้องไปหาหมอที่ รพ.นพรัตนราชธานี ให้ตรวจมะเร็งปอด ซ้ำยังต้องไปหาหมอที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อตรวจตา ชีวิตก็แย่อยู่แล้ว หากโดนดำเนินคดีต้องเดินทางอีกจะหาเงินที่ไหนเป็นค่าใช้จ่าย ลำพังเบี้ยเลี้ยงคนพิการ 600 กับเงินเดือนสามีเป็นช่างปั้นอยู่โรงหล่อพระตามต่างจังหวัด ใครจ้างก็ไป ส่งมาให้เดือนละสองพันบาท ลูกสาวก็เริ่มเข้าเรียนก็ให้เรียนอยู่ในศูนย์เด็กเล็กของชุมชน โชคดีที่มีประธานหมู่บ้านคอยช่วยเหลือ ขอยืนยันว่าไม่เคยขายของผ่านทางอินเตอร์เน็ตและสามีก็ไม่เคยเพราะเล่นไม่เป็น แค่เคยถ่ายรูปคู่กับสามีโดยใช้โทรศัพท์ถ่ายและขายโทรศัพท์เครื่องนั้นไปนานแล้ว” น.ส.ไพลินกล่าว นอกจากนี้ น.ส.ไพลินยังเล่าถึงสาเหตุที่ต้องมาเสียดวงตาว่า ตอนนั้นเป็นวัยรุ่นอายุ 18 ปี เรียนอยู่ชั้น ป.6 อยากสวยตามแฟชั่นเลยไปซื้อ “บิ๊กอาย” มาใส่ในราคา 300 บาท มาใส่ทำการบ้าน ตาอักเสบติดเชื้อเริ่มมองไม่เห็น ไปหารักษาที่ รพ.รามาธิบดี หมอบอกให้ทำใจไม่มีทางรักษาได้ หลังจากนั้นจึงไม่ได้เรียนหนังสือต่อ อยู่บ้านเฉยๆมา 7 ปี เมื่อไปตรวจร่างกายเจอมะเร็งที่ปอดและยังมาโดนแจ้งความดำเนินคดีซ้ำ ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะรันทดถึงขนาดนี้ ด้านนายพลภูมิ เปิดเผยว่า วันนี้มาเยี่ยมเป็นกำลังใจให้ น.ส.ไพลินที่ตกเป็นผู้ต้องหาที่ สภ.เมืองกระบี่ หลังจากพาเข้ามอบตัวกับตำรวจพร้อมนำหลักฐานการเป็นคนพิการทางสายตาและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปมอบให้ โดยตำรวจเจ้าของคดีรับปากว่าจะดำเนินคดีด้วยความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย “หลังผมพาคุณไพลินเข้าไปพูดคุยกับผู้เสียหาย เมื่อเขาเห็นสภาพน้องแล้วก็บอกเตรียมพิจารณาดูว่าจะถอนฟ้องหรือไม่ เข้าใจว่ากรณีถูกโพสต์ข้อความที่เสียหายและตอบโต้กันจนผู้เสียหายเสื่อมเสีย ต้องรอให้ตำรวจแกะรอยหาผู้กระทำตัวจริงมาดำเนินคดี ด้านความเป็นอยู่ของครอบครัวจะดูแลสิทธิที่พึงควรได้จากคนพิการตามกฎหมาย หากเดือดร้อนเร่งด่วนให้ประสานกับประธานชุมชนในเบื้องต้น ส่วนจะตั้งทนายสู้หรือไม่นั้นเท่าที่ปรึกษาด้านคดี แนะนำให้เอาเอกสารคนพิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไปต่อสู้ตามสภาพความเป็นจริงของ น.ส.ไพลิน ผู้ถูกกล่าวหาในชั้นศาล หวังว่าทุกฝ่ายคงเข้าใจและต้องการให้เรื่องนี้จบด้วยดี” นายพลภูมิกล่าว นางกรองทอง เกียงขวา อายุ 43 ปี มารดาของ น.ส.ไพลินเปิดเผยว่า ตอนนี้กลุ้มใจกันทั้งบ้านกลัวบุตรสาวจะติดคุก ยัง งง ว่าไปโพสต์ได้อย่างไร ทั้งบ้านมีโทรศัพท์มือถืออยู่เครื่องเดียว แม่ตนซื้อไว้ก่อนตายเมื่อปีที่แล้ว ตนก็เอามาใช้ต่อไม่เคยโพสต์หาใคร ยืนยันว่าบุตรสาวและคนในครอบครัวไม่เคยโพสต์เรื่องแบบนี้ จะกินเข้าไปวันๆยังลำบาก สามีก็เป็นลูกจ้างปั๊มเดือนละหมื่นกว่าบาท มีบุตรสาว 3 คน โดย น.ส.ไพลินเป็นคนที่สอง ส่วนบุตรสาวคนเล็กก็ยังเรียนอยู่ โชคดีที่บ้านที่อยู่เป็นของแม่สามีที่เสียชีวิตไปไม่ต้องเสียค่าเช่า เสียแค่ค่าน้ำค่าไฟ อยากฝากถึงผู้เสียหายขอความเห็นใจด้วย อยากให้เรื่องนี้จบลงด้วยดีจะได้ทำมาหากินกันต่อไป นางสุภาพ เชื้อประเสริฐ ประธานชุมชนหมู่บ้านเก้าแสน กล่าวว่า นางกรองทองเป็นเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมานาน อยู่ในกลุ่ม อสม.ของเขตคันนายาว ถึงแม้จะไม่ค่อยมีเงิน แต่นางกรองทองช่วยเหลือด้านแรงกายแรงใจมาตลอด หลังบุตรสาวถูกดำเนินคดี เจ้าตัวเกิดอาการเครียดไม่รู้จะไปพึ่งใคร เลยพาไปหาอดีต ส.ส.พลภูมิ เข้ามาช่วยเหลือ เฟอร์นิเจอร์ของเครื่องใช้ในบ้านนี้ส่วนใหญ่เป็นของเก่าที่เพื่อนบ้านเอามาให้ ไม่เคยพบเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ในบ้าน อีกด้าน ร.ต.อ.ณัฐภัทร พุทธังกุโร รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองกระบี่ เจ้าของคดีเผยว่า หลังผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเมื่อวันที่ 26 ก.พ. สอบปากคำผู้ต้องหาซึ่งเป็นคนพิการตาบอดให้การปฏิเสธไม่รู้เห็นกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยมีมารดาของผู้ต้องหาและญาติร่วมสอบปากคำ โดยผู้ต้องหายืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้โพสต์หรือเล่นเฟซบุ๊ก จึงสรุปการให้ปากคำเสนอไปยังอัยการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอน “คดีที่เกิดขึ้น ตำรวจมีหลักฐานการออกหมายจับคือ ภาพต่างๆ ของผู้ต้องหาที่นำมาโพสต์ในเฟซบุ๊กชื่อ “สตอเบอร์รี่ นมสด” และหลักฐานเลขบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่รับโอนเงินเพื่อขายสินค้าเบ็ดเตล็ดผ่านทางเฟซบุ๊ก จึงน่าเชื่อได้ว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความหมิ่นประมาทผู้เสียหายตามที่แจ้งความ ส่วนการให้ทำหนังสือไปยังกระทรวงไอซีทีเพื่อให้สืบหาผู้ใช้เฟซบุ๊กตัวจริงนั้น ไม่จำเป็น เนื่องทางไอซีทีจะแจ้งกลับมาว่าไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะเฟซบุ๊กเป็นของต่างประเทศ ยืนยันว่าคดีนี้มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีได้” ร.ต.อ.ณัฐภัทรระบุ ขอบคุณ... http://www.thairath.co.th/content/583446

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...