ทูตไทยประจานเขมร ลอบวางระเบิด-ทำทหารพิการ7นาย ยื่นคณะมนตรีความมั่นคงฯสั่งยุติ
โฆษกรัฐบาลนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงปัญหาไทย-เขมร ยันนายกฯหนักแน่นแก้ปัญหาชายแดน กต.แจงไทม์ไลน์สรุปท่าทีประท้วง “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลง ย้ำรุกการทูตทุกเวทีแจงประชาคมโลก “สีหศักดิ์” เตรียมร่วมวงประชุมอินโด-แปซิฟิก พร้อมพบสื่อต่างประเทศ ส่วนโฆษกกลาโหมแฉเขมรวางทุ่นระเบิดใหม่ในดินแดนไทยจุดเป็นพื้นที่ทหารลาดตระเวนประจำ พร้อมเปิดคลิปในมือถือ 2 เครื่องที่เก็บได้ที่ภูมะเขือบันทึกภาพทหารเขมรเก็บระเบิดเก่าไปวางใหม่ ลั่นระงับปฏิญญา-ถอนอาวุธหนัก ย้ำจะปล่อยเชลยจนกว่าจะเลิกเป็นปรปักษ์ ขณะที่เว็บไซต์บัวแก้วเผยจดหมายทูตไทยประจำยูเอ็น ร้องคณะมนตรีความมั่นคง กดดันเขมรหยุดละเมิดอธิปไตย แจงยิบไทม์ไลน์ยั่วยุ แฉละเมิดต่อเนื่อง ทั้งแอบวางทุ่นระเบิดสังหารทำทหารไทยพิการ 7 นาย ยิงใส่หนองหญ้าแก้ว
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) ลงพื้นที่ ช่องเหว บ้านไทยนิยม ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อติดตามและรับฟังผลการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดจาก ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) และหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 4 กองบัญชาการกองทัพไทย โดยมีกองทัพภาคที่ 2 / กองกำลังสุรนารี สนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่ โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับทราบความก้าวหน้าการปฏิบัติภารกิจ รับฟังปัญหา อุปสรรคและความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงาน พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินงานด้วยความรอบคอบภายใต้มาตรการความปลอดภัยสูงสุด และสร้างการรับรู้ร่วมกับประชาชน เพื่อป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดตกค้างในพื้นที่ชายแดน ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภารกิจด้านมนุษยธรรม ลดภัยคุกคามจากทุ่นระเบิด และสร้างความปลอดภัยให้พื้นที่ชายแดนต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมต่อภารกิจปกป้องอธิปไตย
เขมรเบี้ยวปักหมุดเขตแดนชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหมู่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างสงบเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ไทยยังเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังเข้มงวด เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่กำหนดให้มีการปักหมุดเขตแดนชั่วคราวระหว่างเจ้าหน้าที่ไทยกับเขมรโดยเจ้าหน้าที่กองกำลังบูรพาส่งเครื่องบินโดรนบินสำรวจพื้นที่ทั้งสองจุดตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อเก็บข้อมูลสภาพพื้นที่แนวชายแดน ตรวจสอบเส้นทางเข้า-ออก เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงปะทะหรือเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น หลังกัมพูชาไม่ร่วมปักหมุด อ้างเหตุผลหลายประการ จากการสังเกตการณ์เจ้าหน้าที่รายงานว่า เขมรไม่ได้เข้าร่วมปักหมุดครั้งนี้ตามที่ได้นัดหมายไว้ โดยมีการยกข้ออ้างหลายประการเป็นเหตุผลขอเลื่อนหรือร่วมดำเนินการวันนี้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังยืนยันความพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ยังดำเนินไปตามแผน ทั้งการลาดตระเวน ตั้งจุดตรวจและการใช้กำลังทางอาวุธในระดับที่เหมาะสม เพื่อป้องกันเหตุบานปลาย โดยทหารจากกองกำลังบูรพาและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องยังประจำการตามแนวชายแดนตลอด 24 ชม. นอกจากนี้ ยังมีการจัดกำลังสำรองไว้ในพื้นที่ใกล้เคียง ขณะเดียวกันได้ประสานฝ่ายปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานพลเรือนเพื่อติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
ทูตไทยประจำยูเอ็นฯร้องUNSCแฉเขมร
วันเดียวกัน เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่จดหมายจากนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรเซียร์ราลีโอนประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ประจำเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2025
เนื้อหาของหนังสือดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า ผมขอเรียนให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร่งด่วน ถึงพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับการกระทำต่อเนื่องของกัมพูชาที่เป็นปฏิปักษ์และยั่วยุต่อประเทศไทย ดังนี้ 1.เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ไทยและกัมพูชาลงนาม “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกฯมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นพัฒนาการและความมุ่งมั่นสำคัญในการยุติสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างสันติ
2.ตั้งแต่นั้นไทยดำเนินมาตรการที่จำเป็นทุกประการที่จะยึดมั่นต่อคำมั่นที่ให้ไว้ และขับเคลื่อนการดำเนินการตามถ้อยแถลงดังกล่าว ด้วยจิตวิญญาณแห่งการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับเพื่อนบ้าน และเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎบัตรสหประชาชาติอย่างสัมบูรณ์
แจงยิบไทม์ไลน์เขมรละเมิดข้อตกลง
3.ในส่วนความร่วมมือการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมนั้น ไทยและกัมพูชาตั้งคณะทำงานประสานงานร่วม (Joint Coordinating Task Force - JCTF) ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ (Standard Operating Procedures - SOP) เพื่อกำหนดพื้นที่ที่มีลำดับความสำคัญตามแนวชายแดนที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รวมถึงประสานงานวางแผนและปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งภายใต้กลไกดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบพื้นที่เป้าหมายลำดับแรกในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในจังหวัดสระแก้วของไทยแล้ว 4.เป็นที่น่าเสียใจว่า เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เพียงสองสัปดาห์หลังการลงนามถ้อยแถลงฯ และท่ามกลางพัฒนาการเชิงบวกในความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมทหารไทยจากกองร้อยทหารราบที่ 1161 ซึ่งปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามเส้นทางที่ใช้ตามปกติในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้เหยียบทุ่นระเบิด จากการตรวจสอบพบเป็นทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ที่ถูกวางใหม่ ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยหนึ่งนายต้องสูญเสียขาขวา
7 ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดพิการถาวร
ทั้งนี้ ขอย้ำว่าตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมเป็นต้นมา เกิดเหตุที่เกี่ยวข้องกับทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทยแล้ว 7 ครั้ง รวมถึงเหตุการณ์ข้างต้นทำให้ทหารไทย 7 นาย พิการถาวร โดยแต่ละนายต้องสูญเสียขาการใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการไต่ตรองไว้ล่วงหน้าและผิดกฎหมาย ถือเป็นการละเมิดร้ายแรงต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล กฎบัตรสหประชาชาติ ข้อ 2(4) และอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย
5.หลังเหตุทุ่นระเบิดล่าสุด ไทยได้มีหนังสือเป็นทางการถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำการประชุมว่าด้วยการลดอาวุธ ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 22 เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแสดงความกังวลต่อการละเมิดอนุสัญญาฯของกัมพูชาต่อเนื่อง โดยแนบสำเนาหนังสือดังกล่าวมาพร้อมนี้ด้วย
แจงจำเป็นต้องตอบโต้เขมรยิงป่วนไทย
6.ยิ่งไปกว่านั้นน่าเสียใจอย่างยิ่งว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.10 น.ทหารกัมพูชาจงใจยิงใส่ทหารไทยที่ประจำการที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ในดินแดนของไทย โดยถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างชัดเจน ทหารไทยจำเป็นต้องยิงเตือนกลับด้วยอาวุธเล็กเพื่อป้องกันตนเอง ตามหลักการความจำเป็นและได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด การยิงตอบโต้ระหว่างกันดำเนินถึงเวลา 16.15 น. โดยฝ่ายกัมพูชายิงรวม 30 นัด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อฝ่ายไทย และต่อมาเมื่อเวลา 17.55 น. มีเสียงปืนกลประมาณ 5 นัดจากฝั่งกัมพูชา แต่ฝ่ายไทยไม่ได้ยิงตอบโต้ การดำเนินการของไทยต่อการยั่วยุรอบนี้ของกัมพูชาเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองของไทย สอดคล้องอย่างสัมบูรณ์กับกฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติ
ปล่อยข่าวปลอมโจมตีดิสเครดิตไทย
7. เป็นเรื่องที่น่าตำหนิอย่างยิ่งที่หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนกัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่า เหตุการณ์ดังกล่าวริเริ่มโดยฝ่ายไทย สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์นี้เป็นการยั่วยุที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าโดยกัมพูชาอีกครั้ง ดูเหมือนมีเจตนาเบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบต่อเหตุทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นล่าสุด ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของเขมร ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเบือนข้อเท็จจริงและเจตนาบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของไทยในประชาคมระหว่างประเทศ 8.การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทย มีแต่จะเพิ่มความตึงเครียดและเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลงฯ ซึ่งเป็นการขัดขวางความพยายามของทุกฝ่ายในการส่งเสริมการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่อย่างสันติ และเป็นการกัดกร่อนความไว้วางใจและความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงถูกบีบให้ต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงฯเท่าที่เหมาะสม จนกว่าจะสามารถมั่นใจในความจริงใจและสุจริตใจของกัมพูชาได้
จี้สมาชิกUNSCบี้เขมรเลิกเป็นปฎิปักษ์
9.ในส่วนไทย แม้จะกระทำที่เป็นการรุกรานและเป็นปฏิปักษ์โดยเจตนาและต่อเนื่องจากกัมพูชา แต่ไทยยังคงใช้ความอดกลั้นอย่างสูงสุดในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และจะยังยึดมั่นแน่วแน่ต่อการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ยิ่งไปกว่านั้น ไทยจะยังดำเนินการในส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญสองประการของถ้อยแถลงฯต่อไปคือ เก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งจำเป็นต่อการปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และต่อสู้กับเครือข่ายหลอกลวงข้ามชาติ 10.ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้เรียกร้องต่อกัมพูชาให้รับผิดชอบอย่างเต็มที่และยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมด ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนไทย และถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจน กัมพูชาต้องเคารพอย่างสูงสุดและดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติโดยทันที โดยสุจริตใจและจริงใจเพื่อแสวงหาเส้นทางสู่สันติภาพกับไทย
ในการนี้ ขอความอนุเคราะห์ให้เวียนจดหมายฉบับนี้ รวมถึงเอกสารแนบ แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงฯ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน
ย้ำนายกฯ หนักแน่นแก้ปมชายแดน
เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบฯ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีพร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ โดยนายสิริพงศ์ยืนยันว่า นายกฯมุ่งมั่นตั้งใจหนักแน่นที่จะแก้ปัญหาชายแดนและบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยและต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และรัฐบาลให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้ในการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงการต่างประเทศไม่ย่อหย่อนต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
สหรัฐยันแยกความมั่นคงจากการค้า
ส่วนข้อกังวลเรื่องสถานการณ์ทางการค้า นายกฯมุ่งสื่อสารกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคือ การขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงไทย-กัมพูชาออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรามีข่าวสารที่เป็นผลบวกในแนวทางของนายกฯกับสหรัฐฯผ่านนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ยืนยันสหรัฐฯจะแยกประเด็นนี้ออกจากกัน
ย้ำเขมรวางทุ่นระเบิดเขตไทยมุ่งเอาชีวิต
ด้านพล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดว่า โดยสรุปสถานการณ์อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมถึงเหตุล่าสุดวันที่ 10 พฤศจิกายน รวม 7 ครั้ง มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 20 ราย ทุพพลภาพขาขาด 7 รายอีก 13 ราย ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทก โดยทั้ง 7 ครั้ง เกิดขึ้นในดินแดนของไทย และเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนเกิดในเส้นทางลาดตระเวนที่ทหารไทยใช้เป็นประจำ บริเวณห้วยตามาเลียใกล้กับภูมะเขือ ลักษณะวางเป็นกลุ่มก้อน 4 จุด ใกล้เคียงกัน มุ่งเป้าถึงชีวิต เป็นพฤติกรรมเดียวที่กัมพูชาใช้มาตลอด ทุ่นระเบิดที่เหลือมีลักษณะใหม่ ตัวอักษรคมชัดเจน วางในดินที่ยังไม่มีหญ้าปกคลุม ย้ำชัดว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งนี้ วันที่ 30 เมษายน 2568 ไทยส่งรายงานไปยังคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา ว่าไทยไม่เก็บสะสมสังหารบุคคลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2562 รวมทั้งไม่เก็บไว้เพื่อการศึกษา เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าเราไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง
ยันมีคลิปทหารเขมรวางทุ่นใหม่ในเขตไทย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวต่อว่า จากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนที่เป็นแนวสู้รบในอดีต ที่ผ่านมา มีถึง 16 ครั้งที่ทางกัมพูชาเข้ามาขัดขวาง และจากการสำรวจพื้นที่หลังปะทะตรวจพบว่ามีพื้นที่ที่กัมพูชาเก็บทุ่นระเบิดสังหารไว้ด้วย ประกอบกับทุ่นระเบิดล่าสุดเป็นชนิด PMN-2 ไม่มีในสมัยสงครามในอดีต จึงสรุปได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ และเขมรเป็นผู้วาง นอกจากนี้ จากการสำรวจพื้นที่หลังปะทะ เราได้พบโทรศัพท์ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพวิดีโอ ทหารกัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิด และพบภาพการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด 72B จากนายทหารคนเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดดังกล่าว เพื่อนำไปวางระเบิดใหม่ หลักฐานที่กล่าวมาจึงชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ไม่ให้ทั้งสองฝ่ายยั่วยุหรือเข้าไปในพื้นที่อธิปไตยของอีกฝ่าย
ฉะเขมรฉีกข้อตกลงก่อนไทยระงับปฎิญญา
“การดำเนินการของไทยจากนี้ เมื่อเขมรเป็นผู้ละเมิดปฏิญญา เราจะระงับการดำเนินการตามปฏิญญา เช่น ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ โดยไม่สนว่าเขมรจะดำเนินการหรือไม่ แต่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทยจะดำเนินการต่อไป โดยวางพื้นที่เป้าหมายไว้ 64 พื้นที่ แต่จะเร่งดำเนินการใน 13 พื้นที่ก่อน อย่างไรก็ตาม ใน 13 พื้นที่ข้างต้นจะมี 5 พื้นที่นำร่อง ประกอบด้วย บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านชำราก ช่องเหว และสายโท 10 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายกับคนไทยที่เข้าไปเก็บของป่า ทั้งนี้ การปล่อยเชลยศึกจะดำเนินการขั้นสุดท้าย เมื่อเห็นว่าเขมรสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์กับไทย เราจึงจะพิจารณาเรื่องดังกล่าว”พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว
ทบ.โชว์มือถือ 2 เครื่องเก็บได้ที่ภูมะเขือ
จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก นำหลักฐานที่ทหารไทยเก็บได้ ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ที่บันทึกคลิปทหารกัมพูชากำลังเก็บระเบิดเก่า เพื่อไปวางจุดใหม่ และการสอนวางระเบิด มาให้ผู้สื่อข่าวดู โดยโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องที่เก็บได้ ได้นำไปตรวจสอบกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแล้ว พบว่าเป็นคลิปจริง และบุคคลรอบข้างที่เห็นในคลิป เป็นทหารกัมพูชาที่เคยลาดตระเวนร่วมกับทหารไทย พล.ต.วินธัยกล่าวว่า โทรศัพท์ทั้งสองเครื่องลงทะเบียนที่กัมพูชา หากโทรเข้าไปเช็กจะเป็นคนเขมรรับสาย ทั้งนี้ โทรศัพท์ดังกล่าวเก็บได้บริเวณภูมะเขือตอนเกิดเหตุชุลมุน เราพบโทรศัพท์จำนวนหนึ่ง โดยหลักฐานเหล่านี้จะเป็นเครื่องยืนยันและเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของไทย
ชี้ MOU ไม่ใช่ปัญหาแต่คู่สัญญาไม่ทำตาม
พล.ต.วินธัยให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของทหารต่อกระแสขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่าง ไทย - กัมพูชา (MOU 43-44) ว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติ MOU 43 อยู่ที่ผู้ปฏิบัติหรือคู่สัญญามากกว่า ซึ่งปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากลายลักษณ์อักษรหรือข้อพันธะในสัญญาโดยตรง แต่เป็นเพราะผู้ยึดถือสัญญาเป็นผู้ที่ไม่ยึดถือ หรือไม่ปฏิบัติ และละเมิดบ่อย ไม่ทำตามข้อตกลงที่เราต้องแก้ไขด้วยการประท้วง ซึ่งเราก็ต้องทำตรงนั้นได้เต็มที่อยู่แล้ว ส่วนท่าทีกองทัพต่อ MOU 43-44 นั้น อยู่ระหว่างการพิจารณา ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ซึ่งเราพูดได้ตรงนี้คือ ปัญหาที่เราพบคือความไม่ตรงไปตรงมาของกัมพูชา
กต.แจงไทม์ไลน์ประท้วงทันทีทุกระดับ
ขณะนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงเพิ่มเติมว่า จากเหตุการณ์ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศดำเนินการทันทีทุกระดับ และไม่มีช่องว่าง โดย1.นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ โทรศัพท์ประท้วงไปยังรองนายกฯและรมว.ต่างประเทศเขมรถึงสองครั้งในทันที และทำหนังสือประท้วงเป็นทางการผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย 2.ชี้แจงหารือกับสหรัฐฯและมาเลเซีย โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ทำหนังสือถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกฯมาเลเซีย ซึ่งเอกสารเป็นการย้ำว่าไทยยึดมั่นเส้นทางแห่งสันติภาพ เคารพปฏิบัติตามประกาศร่วมสันติภาพ แต่การละเมิดของกัมพูชา ทำให้ไทยต้องสงวนสิทธิ์ตามความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน รวมถึงความปลอดภัยของประชาชน เราจึงต้องระงับการปฏิบัติตาม Joint Declaration ชั่วคราว ซึ่งไทยจะกลับมาปฏิบัติตามอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับท่าทีและความจริงใจของกัมพูชา
เขมรต้องรับผิดชอบก่อนถึงเดินหน้าปฏิญญา
นายนิกรเดชกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ นายกฯยังหารือทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐฯและผู้นำมาเลเซีย มีประเด็นสำคัญคือ นายกฯขอให้แยกเรื่องทวิภาคีของไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องความมั่นคงออกจากการเจรจาการค้า ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของไทยและสหรัฐฯไม่เกี่ยวกับประเทศอื่น พร้อมขอให้ประธานอาเซียนช่วยหาแนวทางฟื้นฟูกระบวนการสันติภาพ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของไทยคือ ให้กัมพูชาขอโทษ สอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงความรับผิดชอบ รวมถึงป้องกันไม่ให้เหตุเกิดขึ้น และผู้นำทั้งสองแสดงความเข้าใจ และรับพิจารณาข้อเสนอของไทย หลังการหารือทางโทรศัพท์นายกฯมีหนังสืออีกฉบับถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อย้ำท่าทีของไทยและการที่กัมพูชาต้องกลับมาปฏิบัติตาม Joint Declaration โดยเฉพาะประเด็นเก็บกู้ทุ่นระเบิดและต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชั้นนี้จึงขึ้นอยู่กับเขมรที่ต้องกำหนดอนาคตของ Joint Declaration
ชงปมเขมรละเมิดทุกเวทีประชาคมโลก
นายนิกรเดชกล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงในกรอบอนุสัญญาออตตาวา ไปยังประเทศที่ญี่ปุ่น ในฐานะประธานภาคีประชุมอนุสัญญาออตตาวา และทำหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UNSG) แจ้งเรื่องการวางทุ่นระเบิดใหม่และการยั่วยุที่บ้านหนองหญ้าแก้ว โดยไทยจะยกประเด็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชาในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา ครั้งที่ 22 วันที่ 1-5 ธ.ค.นี้ ที่นครเจนีวา และ4.เรายังทำหนังสือประท้วงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งศาสตร์ประชาชาติ (UNSC) เกี่ยวกับการลุกล้ำอธิปไตยไทย พร้อมให้เวียนหนังสือดังกล่าวให้รัฐสมาชิก UNSC ทราบด้วย นอกจากนี้ จะชี้แจงต่อประชาคมโลกในทุกโอกาส โดยที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอินโด-แปซิฟิก (IPMF) ครั้งที่ 4 และจะพบผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ รมว.การต่างประเทศจะร่วมเวทีเสวนากับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศด้วย
“ไทยจะเดินหน้าประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประชุมเอเปกคือ การปราบสแกมเมอร์ โดยไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระดับรัฐมนตรีช่วงเดือนธันวาคม ยืนยันเราดำเนินการทูตเชิงรุกทุกเวที”นายนิกรเดชกล่าว
พณ.เดินหน้าเจรจาภาษีสหรัฐให้จบสิ้นปีนี้
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมแถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศว่า อย่างที่ทราบเราได้คุยกับสหรัฐฯเกี่ยวกับการเจรจาภาษีต่างตอบแทน และการค้ามาตลอด ซึ่งช่วงที่รัฐบาลนี้เข้ามาก็ยังให้ความสําคัญกับเรื่องนี้ มีการพูดคุยกันต่อเนื่อง และจากข้อมูลล่าสุด เรามั่นใจว่าสหรัฐน่าจะยังมีเป้าหมายเดียวกับเรา ที่ยังยึดมั่นในเดตไลน์เดิมในการเจรจารายละเอียดข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่เจอกับผู้แทนการค้าสหรัฐช่วงประชุมเอเปค มีการพูดถึงตลอดว่าเรื่องการค้าและความมั่นคงต้องแยกกันชัดเจน เราทําการบ้านจริงจัง และหารือกับสหรัฐเข้มข้น มีการตั้งคณะทํางานด้านยุทธศาสตร์ ที่มีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเป็นหัวหน้าคณะทํางานที่จะดูแลเรื่องนี้ และยังมุ่งมั่นทํางานในส่วนของเรา เพื่อเตรียมพร้อมเจรจากับสหรัฐ และยืนยันเป้าหมายเดิม ขณะเดียวกัน เราเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการในการเสริมสร้างขีดความสามารถ สินค้า ศักยภาพและบริการด้านอื่น รวมถึงการหาตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยระดับประเทศคู่เจรจาที่เรามีอยู่ และการขยายตลาดใหม่ รองรับการแข่งขันสูงในขณะนี้
ยันความมั่นคงไม่เกี่ยวเจรจาภาษี
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเจรจาการค้าครั้งต่อไปจะมีเรื่องเขตแดนเข้ามาต่อรองหรือไม่ น.ส.โชติมากล่าวว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการนํารายละเอียดด้านความมั่นคงมาเกี่ยวข้องกับการเจรจา อันนี้อาจเป็นปัจจัยภายนอกการเจรจา
จากนั้นอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า การเจรจายังดำเนินการต่อไป แม้ยูเอสทีอาร์ จะแจ้งระงับการเจรจาการค้าและภาษีกับไทยชั่วคราว แต่เราจะไม่รอให้การเจรจาเนิ่นนานไปถึงช่วงปลายปี เรายืนยันกลับไปว่า ทั้งเรื่องความมั่นคงและเจรจาภาษีไม่เกี่ยวข้องกัน ส่วนอัตราภาษีสินค้าไทยนำเข้าสหรัฐ ยังคงอยู่ที่ 19% และเป้าหมายสิ้นปีจะแล้วเสร็จทุกอย่าง
ถามต่อว่าถ้าการเจรจาไม่สิ้นสุดภายในสิ้นปีนี้ จะมีแผนรองรับหรือไม่ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนั้นเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่คิดว่าเราต้องทำงานกันต่อไป หากเป็นการเจรจาปกติ พร้อมยืนยันว่าไม่ขาดช่วง เมื่อถามว่า ไทยจะขอลดอัตราภาษีนำเข้าให้ต่ำกว่า 19% หรือไม่ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ในฐานะนักเจรจาเราก็ต้องต่อรองเรื่อยๆอยู่ตลอด พร้อมยืนยันว่าท่าทียูเอสทีอาร์ต่อฝ่ายไทยก็ยังคงเหมือน
ขอบคุณ... https://www.naewna.com/politic/928533



