หัวในนักสู้ ทำความเข้าใจวงการกีฬาคนพิการที่ช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกในชีวิตจนยืนได้ด้วยตัวเอง

หัวในนักสู้ ทำความเข้าใจวงการกีฬาคนพิการที่ช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกในชีวิตจนยืนได้ด้วยตัวเอง

ในสังคมไทย ภาพจำของคนพิการยังถูกจำกัดด้วยความคิดของคนบางกลุ่ม บ้างก็ว่าพวกเขาใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้ บ้างก็ว่าไม่ควรออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเพราะลำบากเกินไป จึงเกิดคำถามว่า แล้วคนพิการจะใช้ชีวิตได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขามีศักยภาพไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แต่เหมือนจะต้องเป็นฝ่ายรอรับความช่วยเหลือเสมอมา

การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์หากยังมีคนที่เข้าไม่ถึงความเท่าเทียม คอลัมน์ Sustainable Development Goals ในครั้งนี้จึงชวนไปคุยกับ รุ่งโรจน์ ไทยนิยม นักกีฬาเทเบิลเทนนิสคนพิการทีมชาติไทย ผู้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางร่างกายด้วยการคว้าเหรียญทองแรกของไทยในการแข่งขันเทเบิลเทนนิสในพาราลิมปิกฤดูร้อนเมื่อปี 2012 และครองแชมป์อีกหลายรายการในแข่งขันระดับโลก

ความสำเร็จในสนามกีฬาของรุ่งโรจน์และนักกีฬาพิการคนอื่น ๆ เปลี่ยนภาพจำของวงการกีฬาคนพิการในไทยอย่างมาก พร้อมทั้งเปิดประตูความฝันของคนพิการให้กว้างขึ้น เพราะ ‘ความสามารถ’ ไม่ได้กำหนดด้วยร่างกายที่สมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่ ‘หัวใจที่ไม่ยอมแพ้’

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักกีฬาเทเบิลเทนนิส

ผมคลอดก่อนกำหนด แขนขาแต่ละข้างจึงไม่เท่ากัน ผมต้องใช้หลังเท้าในการเคลื่อนไหว แต่พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงผมมาอย่างประคบประหงม เขาเลี้ยงโดยให้ดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด ถ้าสิ่งไหนทำไม่ได้ค่อยขอความช่วยเหลือ ผมมีพี่ชายอีกคนหนึ่ง พ่อเลี้ยงพวกเราเหมือนกันเลย ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนทั่วไปกับพี่ และพี่ก็ช่วยปกป้องเวลามีคนมาแกล้ง ครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมออกมาใช้ชีวิตในโลกภายนอกได้ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ทำให้เรามองโลกในแง่บวก เป็นภูมิคุ้มกันให้ชีวิต

พ่อผมเป็นผู้จัดการสโมสรเทเบิลเทนนิสตำรวจ มันเป็นกีฬาไม่กี่ชนิดที่ผมเล่นได้ที่โรงเรียน เพราะไม่ได้มีตัวเลือกมากนัก เริ่มจากการลองเล่น เล่นไปได้สักพักก็ชอบ เคยถึงขั้นลงแข่งในงานกีฬาสี ตอนนั้นผมอยู่ ป.5 ผมชนะก็เลยลงแข่งมาเรื่อย ๆ โดยมีพ่อสนับสนุน จนถึงตอนขึ้น ม.1 ผมตัดสินใจสอบเข้าโรงเรียนหอวังผ่านโครงการสอบคัดเลือกนักกีฬาเข้าโรงเรียน และติดเข้าทีมชาติตอนอยู่ ม.2 ไปแข่งที่อาเซียนพาราเกมส์แล้วได้เหรียญทอง เป็นจุดพลิกผันของชีวิตเลย เพราะมีคนมองเห็นความสามารถของเรา ให้เกียรติเรา ทำให้เรามีจุดยืนในสังคม

หัวในนักสู้ ทำความเข้าใจวงการกีฬาคนพิการที่ช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกในชีวิตจนยืนได้ด้วยตัวเอง

ฟังดูดีเลย แล้วมีอุปสรรคเกิดขึ้นบ้างไหม

ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ไปแข่งกีฬาพาราลิมปิกครั้งแรก ต้องซ้อมไปด้วยเรียนไปด้วย ผมจึงตัดสินใจขอพักการเรียนเพื่อไปลุยซ้อมให้เต็มที่ ใช้เวลาเป็นปีเลย ปรากฏว่าตอนไปแข่งจริงตกรอบแรก เป็นการแข่งที่รู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต มันผิดหวังจนไม่เอาอะไรแล้ว กลับไทยมาก็เล่นเกมออนไลน์อย่างเดียว ไม่ทำอะไรเลย

จนผมไปเจอพระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ 9 ที่ว่า ‘หากล้ม จงอย่ากลัวที่จะลุกขึ้นมาใหม่’ อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจขึ้น บวกกับพ่อคอยถามเราเสมอว่า เมื่อไหร่จะกลับไปเรียน เมื่อไหร่จะกลับไปซ้อม ซึ่งที่ผ่านมาเราปฏิเสธตลอด จน โค้ชเบิร์ด-พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ ที่ดูแลเรามาหาที่ร้านเกมแล้วพูดกับเจ้าของร้านว่า ถ้าให้น้องเล่นอีกจะปิดร้าน สุดท้ายเราเลยกลับไปซ้อมต่อ

ที่ไม่กลับไปตอนแรกเพราะกลัวจะโดนล้อที่แพ้ แต่พอกลับไปซ้อม น้อง ๆ เป็นฝ่ายชวนเรามาตีปิงปองด้วยซ้ำ มันเป็นความกลัวที่เราสร้างขึ้นเอง หลังจากตกรอบในพาราลิมปิกครั้งแรกเราไม่กล้าตีปิงปองนาน 2 – 3 เดือนเลย แต่สุดท้ายก็กลับมาได้และเล่นจนถึงทุกวันนี้

จำนวนนักกีฬาคนพิการในปัจจุบัน

ถ้าเทียบกับเมื่อ 25 ปีก่อนที่ผมเพิ่งเริ่มเล่น นักกีฬาคนพิการยังมีจำนวนน้อย วงการกีฬาคนพิการยังไม่ค่อยได้รับความสนใจ แต่พอมีนักกีฬาคนพิการชนะการแข่งขันมากขึ้น สังคมก็เริ่มให้ความสำคัญ ทุกวันนี้เลยมีนักกีฬาคนพิการเพิ่มมากขึ้นในกีฬาหลากหลายประเภท

อันที่จริงคนพิการมีความสามารถหลากหลายนะ ไม่ได้มีดีแค่เล่นกีฬา บางคนสมองดีก็ไปทำงานอย่างอื่น หรือบางคนชอบงานศิลปะก็ไปมุ่งทางนั้น ทุกคนมีพรสวรรค์ในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะเห็นพรสวรรค์ของตัวเองไหม หรือบางคนอาจมีพรแสวง มีความขยัน

การตีกรอบจากสังคมอาจทำให้การค้นพบพรสวรรค์หรือความฝันของคนพิการไปได้ไม่สุด

บางคนอาจมองว่าคนพิการเป็นภาระ เป็นคนพิการจะทำอะไรได้ เราเจอมาเยอะ ถึงภูมิใจมาก ๆ ตอนที่ได้เหรียญทองพาราลิมปิกเกมส์เมื่อปี 2012 ที่ลอนดอน มันเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก จำได้ว่าวันที่กลับมาไทย ผมนั่งรถแห่จากสนามบินสุวรรณภูมิจนถึงทำเนียบรัฐบาล ระหว่างทางมีบางคนพูดว่าคนพิการก็ทำชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้เหมือนกัน น่าภูมิใจที่เราได้ทำเพื่อประเทศชาติ ทำให้คนเห็นความสามารถ และทำให้คนพิการรุ่นหลัง ๆ มีจุดยืนในสังคมและมองเห็นโอกาสในชีวิต

ฝั่งคนพิการเองก็ต้องปรับความคิดตัวเองด้วยเหมือนกันว่า เราก็มีคุณค่าไม่ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่รอรับความช่วยเหลืออย่างเดียว เราต้องแสดงให้เห็นก่อนว่าเราทำอะไรได้ คนอื่นถึงจะมองเห็นและให้โอกาส ถ้าอยากจะเล่นกีฬา ลองหากีฬาที่คุณสนใจ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้เป็นทีมชาติในวันข้างหน้าก็ได้ อย่านิ่งนอนใจรอโอกาส โอกาสลอยอยู่ในอากาศ อยู่ที่ว่าเราคว้ามันได้ไหม

นอกจากทัศนคติของคนพิการ สังคมควรเป็นอย่างไรเพื่อให้คนพิการแสดงศักยภาพของตัวเองได้

ควรให้เขาลงมือทำก่อน ไม่ใช่ปฏิเสธตั้งแต่แรก อย่ามองว่าเป็นคนพิการแล้วจะทำไม่ได้ ถ้ามีคนพิการคนหนึ่งอยากเป็นนักกีฬา ควรสนับสนุนและให้เขาให้ลองเล่น แล้วก็มาประเมินหลังครบ 1 เดือน ถ้าเห็นว่ามีแววก็พัฒนากันไป หรือถ้าพัฒนาไม่ได้ก็มาคุยว่าลองกีฬาชนิดอื่นไหม

ผมว่าสังคมบางส่วนตีกรอบว่าคนพิการทำได้อย่างมากแค่ขายลอตเตอรี่ อาชีพสำหรับคนพิการถึงได้จำกัด ควรทำให้คนเห็นความเป็นได้ใหม่ ๆ และปล่อยให้คนพิการฝันได้กว้างขึ้น

เหตุผลที่ทำให้คุณอยากตื่นมาเล่นเทเบิลเทนิสมาตลอด 25 ปี

ผมอยู่ในวงการมานานตั้งแต่ยุคที่ไม่มีอะไร จนมาถึงยุคที่มีคนให้ความสนใจมากขึ้น ผมเป็นคุณพ่อด้วย ลูก ๆ นี่แหละที่ทำให้เรามีไฟสู้ต่อ ผมไม่อยากเป็นพ่อที่ถูกมองว่า ถ้าพ่อเป็นคนพิการ ลูกก็คงมีคุณภาพชีวิตไม่ดี ผมอยากเป็นพ่อคนพิการที่ลูกจะมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดเท่าที่พ่อคนนี้จะทำได้ ผมเลยมีไฟที่จะสู้ต่อไปในวัย 38 ย่าง 39 ปี จะยังรับใช้ชาติต่อไป พาราลิมปิกเกมส์ครั้งหน้าที่ลอสแอนเจลิสก็จะไปแข่งด้วย

คุณได้อะไรจากการอยู่ท่ามกลางนักกีฬาคนพิการคนอื่น ๆ

เราได้เห็นคนพิการในรูปแบบต่าง ๆ และหลายครั้งเราก็ได้ช่วยเหลือคนพิการด้วยกัน

เราได้เห็นอุปกรณ์ที่นักกีฬาคนพิการแต่ละประเทศใช้ มันไม่เหมือนกัน มารู้ทีหลังว่าอยู่ที่งบประมาณ วงการกีฬาคนพิการในบ้านเราเมื่อ 25 ปีก่อนยังไม่ค่อยได้รับความนิยม รัฐและเอกชนไม่รู้หรอกว่าคนพิการก็เล่นกีฬาได้ แต่ปัจจุบันภาครัฐให้ความสำคัญมากขึ้น ภาคเอกชนก็เข้ามาสนับสนุน ทุกอย่างเลยพัฒนา แต่ถ้านักกีฬาไม่สร้างผลงานดี ๆ วงการก็จะไม่ได้พัฒนาอย่างทุกวันนี้

อยากฝากอะไรถึงครอบครัวที่มีลูกเป็นคนพิการ

เมื่อมีลูก ไม่ว่าเขาจะพิการหรือไม่ เขาก็คือลูก อยากให้พ่อแม่ดูแลให้ดีที่สุด ปัจจุบันนี้สังคมให้โอกาสคนพิการมากขึ้นแล้ว เลี้ยงเขาให้เติบโตมาอย่างดี และให้โอกาสเขาเท่าที่คุณจะทำได้

ในปี 2030 อยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร เพื่อให้วงการนักกีฬาคนพิการไปได้ไกลขึ้น

ตอนนี้ประเทศไทยให้ความสำคัญกับกีฬาคนพิการมากขึ้น ผมอยากให้ช่วยสนับสนุนนักกีฬาหน้าใหม่ จะได้มีต้นกล้าใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนรุ่นพี่ ผมมองว่าเรื่องนี้สำคัญนะ

ในวงการกีฬามีข่าวตลอดว่านักกีฬาต้องออกเงินเองไปก่อน พอดังแล้วถึงมีคนมาสนับสนุน ผมว่านักกีฬาคนพิการหรือนักกีฬาทั่วไปมีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ เขาเพียงขาดโอกาสและงบประมาณสนับสนุน และนักกีฬาคนพิการไม่ได้จำกัดอายุ ถ้าดูแลร่างกายดีก็ยังต่อไปได้เรื่อย ๆ อย่าง พี่แวว-สายสุนีย์ จ๊ะนะ เขาอายุ 51 ปีแล้วนะ แต่ยังเล่นกีฬาได้เรื่อย ๆ เลย ถามว่าจะมีสักกี่คนที่ทำอย่างนี้ มันก็คงต้องมีการคัดเลือกนักกีฬาใหม่ ๆ เข้ามา ผมบอกได้เลยว่ามีนักกีฬารุ่นใหม่ที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะรับใช้ชาติอีกหลายคน

พาราลิมปิกเกมส์ครั้งหน้าผมมองไว้ว่าจะมีนักกีฬาไทยเข้าร่วมแข่งขันมากขึ้นแน่นอน เพราะรัฐและเอกชนให้ความสนใจมากขึ้น แล้วพวกเราก็ทำผลงานได้ดีขึ้น จะมีดาวรุ่งได้ไปแข่งขันอีก ผมเชื่อว่าเราจะมีผลงานที่ดีกว่าเดิม

อะไรคือ ‘คำสำคัญ’ ที่อยากให้เราเก็บไว้ในใจ

ผมขอใช้คำว่า ‘หัวใจนักสู้’ ก่อนที่จะไปสู้กับคนอื่นเราต้องสู้กับตัวเองก่อน สู้กับความพิการของตัวเอง ถ้าไม่สู้กับตัวเองเราจะสู้กับคนอื่นไม่ได้ อย่างตัวผมสมัยก่อน ต้องนั่งรถเมล์ไปซ้อม เคยตกรถเมล์และเกิดอุปสรรคมากมาย ถ้ายอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่มีรุ่งโรจน์ที่ได้เหรียญทองในการแข่งพาราลิมปิกในวันนี้

ขอบคุณ... https://readthecloud.co/rungroj-thainiyom/

ที่มา: readthecloud.co/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 15 ก.ย. 68
วันที่โพสต์: 15/09/2568 เวลา 15:11:47 ดูภาพสไลด์โชว์ หัวในนักสู้ ทำความเข้าใจวงการกีฬาคนพิการที่ช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกในชีวิตจนยืนได้ด้วยตัวเอง