องค์กรสิทธิวิจารณ์หนัก รัฐบาลอังกฤษจ่อตัดงบคนพิการราว 200,000 ล้านบาท
รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศตัดเงินสวัสดิการคนพิการ ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณได้มากกว่า 5,000 ล้านปอนด์ หรือราว 218,205 ล้านบาท
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 19 มี.ค. ว่า นางลิซ เคนดัลล์ รมว.แรงงานและบำนาญ แถลงต่อสภาสามัญ ว่าเธอกำลังจัดทำ “แผนการปฏิรูปที่สำคัญ” เพื่อช่วยให้คนพิการมีงานทำ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากสมาชิกพรรคแรงงานซึ่งเป็นพรรครัฐบาล และองค์กรการกุศลหลายแห่ง ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะวิธีการประเมินผู้ได้รับสิทธิ
การประกาศดังกล่าวมีขึ้น ก่อนที่นางเรเชล รีฟส์ รมว.คลังสหราชอาณาจักร จะแถลงนโยบายลดค่าใช้จ่ายหลายพันล้านปอนด์ (ราว 43,643 ล้านบาท) ของหน่วยงานต่าง ๆ ภายใต้รัฐบาล หลังค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19
กลุ่มสวัสดิการคนพิการ ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่เป็นตัวแทนองค์กรการกุศล และองค์กรต่าง ๆ มากกว่า 100 แห่ง ออกมาประณามการตัดงบประมาณ “อย่างอำมหิต” ซึ่งจะส่งผลให้ผู้คนหาเงินใช้จ่ายค่ารถเข็น และค่าผู้ดูแลได้ยากขึ้น
ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2568 มีผู้ได้รับเงินช่วยเหลือผู้พิการในอังกฤษและเวลส์รวม 3.66 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 71% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโรคระบาด ขณะที่เคนดัลล์อ้างว่า เงินช่วยเหลือผู้พิการเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 รายการ ในแต่ละวัน ซึ่งนำไปสู่ความไม่ยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งทำให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 22 ปี เข้าถึงสวัสดิการการเจ็บป่วยบางประเภทได้ยากขึ้น
ตามข้อมูลของสำนักงานความรับผิดชอบด้านงบประมาณ (โอบีอาร์) ซึ่งกำกับดูแลการใช้จ่ายของสหราชอาณาจักร คาดว่า ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการด้านสุขภาพและคนพิการสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน จะพุ่งสูงถึง 75,700 ล้านปอนด์ (ราว 3.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2572-2573 จาก 48,500 ล้านปอนด์ (ราว 2.11 ล้านล้านบาท) ในปี 2566-2567
สำนักงานงบประมาณกล่าวว่า ในปี 2566-2567 สหราชอาณาจักรใช้เงิน 296,300 ล้านปอนด์ (ราว 12.9 ล้านล้านบาท) สำหรับสวัสดิการ ซึ่งรวมถึงครึ่งหนึ่งของเงินบำนาญ เทียบเท่าเกือบ 11% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศ
การประกาศของเคนดัลล์ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีขึ้นหลังรัฐบาลสหราชอาณาจักรเปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า “จะขึ้นค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม” ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลมีแรงกดดันมากขึ้น จากต้นทุนการกู้ยืมที่สูง