ศูนย์วิจัยภัยพิบัติฯ NIDA ​เผยจ.ภาค​เหนือตอนบนอยู่​ในขั้นวิกฤต ชี้​แม่ฮ่องสอน-ลำพูน ​เสี่ยงสารก่อมะ​เร็งมากสุด

แสดงความคิดเห็น

"เชียงรายและแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่น่าห่วงต่อสถานการณ์หมอกควัน ในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่าจากช่วงก่อนเกิดวิกฤต และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเทียบกับค่ามาตรฐานของ US-EPA ซึ่งกำหนดค่าของฝุ่น PM2.5 ควรมีไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรภายในระยะเวลาการวัดไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว จะพบว่าทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน กำลังประสบกับปัญหาฝุ่นละอองจากหมอกควันอยู่ในขั้นวิกฤติที่มีผลต่อสุขภาพ ของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหาย ใจเพิ่มขึ้น" นายศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าว

ทั้งนี้ สถานการณ์วิกฤตหมอกควันในภาคเหนือตอนบนเกิดจากการเผาป่า ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยมีประชาชนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนับหมื่นคน ทางศูนย์วิจัยฯ จึงได้ทำการเก็บข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน(PM2.5) ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่สูดดมเข้าไป เปรียบเทียบระหว่างช่วงปลายปี 55(ก่อนเกิดวิกฤต) กับช่วงปลายเดือน ก.พ.-มี.ค.56(ช่วงเกิดวิกฤต)

โดยมีการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน(PM2.5) เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากลักษณะการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของฝุ่น ละอองในบรรยากาศ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.55 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤต และช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย.56 หลังเกิดวิกฤตหมอกควัน ได้ผลที่น่าสนใจ

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า จากการลงพื้น 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน เพื่อศึกษาความเข้มข้นของปริมาณฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พบว่า จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจาก ก่อนเกิดวิกฤตมากที่สุด ได้แก่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยเชียงรายมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 14.97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 91.82 ลูกบาศก์เมตรหรือเพิ่มขึ้น 513% และแม่ฮ่องสอนมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 34.48 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 209.85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 509% รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพะเยา ที่มีปริมาณฝุ่นละออง 17.73 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 99.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 465%

ขณะที่จังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤตเพิ่มสูงขึ้นในระดับ ปานกลางได้แก่ ลำพูน น่าน และลำปาง โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจากช่วง ปกติคิดเป็น 262%, 221% และ172% ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยได้แก่ อุตรดิตถ์ แพร่ มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 100% และ 90 % ตามลำดับ ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุด คือเพิ่มขึ้นเพียง 87% เท่านั้น

ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้ยังได้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศของ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งรวมทั้ง 9 จุด (Total PAHs) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่า Total PAHs สูงสุดที่ 3,864 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาได้แก่ จังหวัดลำพูน มีค่า Total PAHs อยู่ที่ 866 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดแพร่มีค่า Total PAHs ต่ำสุด อยู่ที่ 54 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

"ภาครัฐควรเร่งรณรงค์และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อหยุดการเผาป่า หรือเศษชีวมวลในที่โล่งแจ้ง และเพิ่มโทษ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการเผาป่า รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงอันตรายจากการสูดดมเอาสารก่อมะเร็งจากการ เผาป่าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้" นายศิวัชกล่าว

ขอบคุณ http://www.ryt9.com/s/iq01/1624801

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 5 เม.ย. 56
วันที่โพสต์: 6/04/2556 เวลา 03:49:39

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

"เชียงรายและแม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่น่าห่วงต่อสถานการณ์หมอกควัน ในชั้นบรรยากาศที่มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่าจากช่วงก่อนเกิดวิกฤต และเมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาเทียบกับค่ามาตรฐานของ US-EPA ซึ่งกำหนดค่าของฝุ่น PM2.5 ควรมีไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรภายในระยะเวลาการวัดไม่เกิน 24 ชั่วโมงแล้ว จะพบว่าทุกจังหวัดในภาคเหนือตอนบน กำลังประสบกับปัญหาฝุ่นละอองจากหมอกควันอยู่ในขั้นวิกฤติที่มีผลต่อสุขภาพ ของประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหาย ใจเพิ่มขึ้น" นายศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าว ทั้งนี้ สถานการณ์วิกฤตหมอกควันในภาคเหนือตอนบนเกิดจากการเผาป่า ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ โดยมีประชาชนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนับหมื่นคน ทางศูนย์วิจัยฯ จึงได้ทำการเก็บข้อมูลปริมาณฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอน(PM2.5) ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ที่สูดดมเข้าไป เปรียบเทียบระหว่างช่วงปลายปี 55(ก่อนเกิดวิกฤต) กับช่วงปลายเดือน ก.พ.-มี.ค.56(ช่วงเกิดวิกฤต) โดยมีการเก็บตัวอย่างฝุ่นละอองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน(PM2.5) เพื่อศึกษาองค์ประกอบทางเคมีจากลักษณะการดูดกลืนรังสีอินฟราเรดของฝุ่น ละอองในบรรยากาศ เพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์การเกิดโรคมะเร็งปอด โดยกำหนดระยะเวลาการเก็บตัวอย่างสภาพอากาศในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.55 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤต และช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย.56 หลังเกิดวิกฤตหมอกควัน ได้ผลที่น่าสนใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า จากการลงพื้น 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และลำพูน เพื่อศึกษาความเข้มข้นของปริมาณฝุ่น PM2.5 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ พบว่า จังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยปริมาณฝุ่นละอองหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจาก ก่อนเกิดวิกฤตมากที่สุด ได้แก่ เชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยเชียงรายมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 14.97 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 91.82 ลูกบาศก์เมตรหรือเพิ่มขึ้น 513% และแม่ฮ่องสอนมีปริมาณฝุ่นละอองก่อนเกิดวิกฤต 34.48 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 209.85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 509% รองลงมา ได้แก่ จังหวัดพะเยา ที่มีปริมาณฝุ่นละออง 17.73 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็น 99.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือเพิ่มขึ้น 465% ขณะที่จังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤตเพิ่มสูงขึ้นในระดับ ปานกลางได้แก่ ลำพูน น่าน และลำปาง โดยมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองในอากาศหลังเกิดวิกฤตหมอกควันเพิ่มขึ้นจากช่วง ปกติคิดเป็น 262%, 221% และ172% ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยได้แก่ อุตรดิตถ์ แพร่ มีปริมาณฝุ่นเพิ่มขึ้น 100% และ 90 % ตามลำดับ ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณฝุ่นละอองในช่วงวิกฤติหมอกควันเพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุด คือเพิ่มขึ้นเพียง 87% เท่านั้น ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาในครั้งนี้ยังได้ตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารก่อมะเร็ง PAHs ในฝุ่น PM2.5 ในชั้นบรรยากาศของ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ซึ่งผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ค่าเฉลี่ยของสารก่อมะเร็งรวมทั้ง 9 จุด (Total PAHs) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 613 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยพบว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีค่า Total PAHs สูงสุดที่ 3,864 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองลงมาได้แก่ จังหวัดลำพูน มีค่า Total PAHs อยู่ที่ 866 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่จังหวัดแพร่มีค่า Total PAHs ต่ำสุด อยู่ที่ 54 พิโคกรัมต่อลูกบาศก์เมตร "ภาครัฐควรเร่งรณรงค์และสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อหยุดการเผาป่า หรือเศษชีวมวลในที่โล่งแจ้ง และเพิ่มโทษ พร้อมให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลดการเผาป่า รวมถึงสร้างความเข้าใจถึงอันตรายจากการสูดดมเอาสารก่อมะเร็งจากการ เผาป่าที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ได้" นายศิวัชกล่าว ขอบคุณ http://www.ryt9.com/s/iq01/1624801

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...