โชว์ห่วย
ตกลงไปมาก ส่วนใหญ่แล้วกำไรที่ขึ้นๆ ลงๆ มาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปรวด เร็วในแต่ละปี สำหรับผมแล้ว ถ้ากำไรผันผวนมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผมมักหลีกเลี่ยงบริษัทเหล่านี้
ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่สำคัญและเป็นตัว ที่บอกว่า อาจเป็นกิจการที่ “โชว์ห่วย” ก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำโดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 10% เป็นส่วนใหญ่ในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา เพราะนี่คือเหตุผลที่บริษัทหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของ ไม่ควรลงทุนเนื่องจากมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงถ้าเอาเงินของตัวเองลงไปในบริษัท แล้วได้ ผลตอบแทนไม่ถึง 10% ต่อปี
ข้อสี่ก็คือ ในการดูตัวเลขหลายๆ ปี เช่น 5 ปีย้อนหลัง บางทีผมก็อาจดูตัวเลขกำไรโดยรวมด้วยว่า 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรรวมกันเท่าไร บางครั้งพบว่าบางปีบริษัทขาดทุนหนัก จนทำให้กำไรรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีน้อยมาก แม้กำไรปีหลังๆ จะดูน่าประทับใจ แบบนี้ผมก็จะต้องระวังเป็นพิเศษเหมือนกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจหลัก อาจจะเป็นตัวบอกเหมือนกันว่านี่เป็นสัญญาณของกิจการ “โชว์ห่วย” ที่กำไร 4 ปี ต้องหมดไปกับการขาดทุนเพียงปีเดียว
ข้อห้าเป็นเรื่องเชิงคุณภาพที่จะบอกว่า เป็นกิจการที่แย่หรือไม่ก็คือ จำนวนผู้ผลิตหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงที่เข้ามาแข่งขันในตลาด เดียวกัน นี่อาจจะรวมถึงคู่แข่ง หรือสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศด้วย ถ้าดูแล้วคู่แข่งมีเต็มไปหมด แบบนี้ต้องสงสัยว่า จะเป็นกิจการในกลุ่ม “โชว์ห่วย” ที่อาจจะทำกำไรได้ยาก
ข้อหก ลองคิดดูว่า สินค้าที่บริษัทขาย คนซื้อจะมีความภักดีต่อยี่ห้อมากน้อย แค่ไหน หรือคนสนใจโปรโมชั่น หรือราคามากกว่า ถ้าเป็นอย่างหลัง โอกาสคือบริษัท เป็นผู้ผลิต หรือขายสินค้า “โชว์ห่วย” ที่มักจะไม่สามารถทำกำไรที่ดีกว่าปกติได้
ข้อเจ็ด ในบางครั้งบริษัท “โชว์ห่วย” อาจจะมีข้อมูลดีมากติดต่อกันอาจจะถึง 4-5 ปี จนทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัท “โชว์สวย” ที่จริงบริษัทเหล่านี้ อาจจะดียิ่งกว่าบริษัทที่ดีเยี่ยมด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขทุกตัวเติบโตขึ้นแรงต่อเนื่องกันหลายปี แต่ข้อมูลด้านคุณภาพบอกว่าน่าจะเป็นบริษัท “โชว์ห่วย” เหตุผลที่ตัวเลขดีติดต่อกันหลายปีนั้น อาจเกิดจากสถานการณ์ผิดปกติบางอย่างเช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านของอุปสงค์-อุปทาน อย่างที่ไม่มีคนคาดคิดมาก่อนและการปรับตัวของกำลังการผลิตทำไม่ได้เร็วพอ ราคาสินค้าอาจเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปี ทำให้บริษัทมีกำไรน่าประทับใจ จนคนเข้าใจคุณสมบัติของบริษัทผิดไป
ข้อสุดท้ายคือ กรณีที่ตัวเลขบางตัว เช่น กำไรต่อยอดขายอาจจะไม่สูง เช่นเดียวกับกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่อาจจะปริ่มๆ ที่ 10% ต้นๆ ตัวสินค้าที่ขาย อาจดูเหมือนว่า เป็นสินค้าที่คนไม่ติดยึดยี่ห้อแต่เน้นราคามากกว่า เช่นเดียวกัน คู่แข่งที่มีศักยภาพ ก็มีอยู่มาก ดูแล้วอาจจะบอกว่าน่าจะเป็น “โชว์ห่วย” ตัวเลขกำไรมีความสม่ำเสมอ ปีแล้วปีเล่าและอาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในกรณีแบบนี้เราอาจต้องดูลึกลงไปอีกหน่อยว่า บางทีบริษัทอาจมี “Local Monopoly” หรือมีพลังทางตลาด เพราะสถานที่ตั้งของกิจการ หรือร้านค้าที่ทำให้คู่แข่งไม่สามารถมาแข่งขันได้หรือเปล่า เพราะกรณีแบบนี้ ลูกค้าที่อยู่ในรัศมีการเดินทาง อาจต้องการใช้บริการจากบริษัทมากกว่าจะเดินทางไปหาบริการจากคู่แข่ง ผลคือ การแข่งขันโดยใช้ราคาก็ไม่ถึงกับรุนแรงจนหากำไรไม่ได้
การที่จะสรุป ว่าหุ้น หรือกิจการตัวไหนน่าจะเป็น “โชว์ห่วย” หรือตัวไหนน่า จะเป็น “โชว์สวย” นอกจากการดูข้อมูลด้านตัวเลขและข้อมูลด้านคุณภาพดังที่กล่าวมาแล้ว บางทีเราอาจต้องดูอย่างอื่นๆ ที่ผมนึกไม่ถึง หรือรายละเอียดที่ไม่สามารถเขียนได้หมด จริงอยู่ กิจการหรือบริษัทหลายๆ แห่งนั้นมี “หลักฐาน” ทั้งที่เป็นตัวเลขและคุณสมบัติอย่างอื่นบอกว่า เป็น “โชว์ห่วย” แต่หลายๆ บริษัทก็ไม่ชัด และหลายบริษัท อาจจะเป็นข้อยกเว้น เพราะเหตุผลพิเศษอย่างอื่นทำให้ไม่ใช่ เมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว เราสามารถตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นได้ โดยอิงอยู่กับคุณค่าที่ควรจะเป็นของมัน นั่นก็คือ หุ้น “โชว์ห่วย” เราจะให้มูลค่าที่สูงมากไม่ได้ คิดจากค่า PE และเฉพาะ PB ที่ต้องไม่สูง มิฉะนั้นเราอาจจะเสียหายเมื่อในที่สุดตัวตนที่แท้จริงของกิจการปรากฏ ออกมา
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
ตกลงไปมาก ส่วนใหญ่แล้วกำไรที่ขึ้นๆ ลงๆ มาจากราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นลงตามอุปสงค์และอุปทานที่เปลี่ยนแปลงไปรวด เร็วในแต่ละปี สำหรับผมแล้ว ถ้ากำไรผันผวนมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผมมักหลีกเลี่ยงบริษัทเหล่านี้ ตัวเลขอีกตัวหนึ่งที่สำคัญและเป็นตัว ที่บอกว่า อาจเป็นกิจการที่ “โชว์ห่วย” ก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำโดยเฉพาะที่ต่ำกว่า 10% เป็นส่วนใหญ่ในช่วง 5-10 ปี ที่ผ่านมา เพราะนี่คือเหตุผลที่บริษัทหรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของ ไม่ควรลงทุนเนื่องจากมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยงถ้าเอาเงินของตัวเองลงไปในบริษัท แล้วได้ ผลตอบแทนไม่ถึง 10% ต่อปี ข้อสี่ก็คือ ในการดูตัวเลขหลายๆ ปี เช่น 5 ปีย้อนหลัง บางทีผมก็อาจดูตัวเลขกำไรโดยรวมด้วยว่า 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรรวมกันเท่าไร บางครั้งพบว่าบางปีบริษัทขาดทุนหนัก จนทำให้กำไรรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีน้อยมาก แม้กำไรปีหลังๆ จะดูน่าประทับใจ แบบนี้ผมก็จะต้องระวังเป็นพิเศษเหมือนกันว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจหลัก อาจจะเป็นตัวบอกเหมือนกันว่านี่เป็นสัญญาณของกิจการ “โชว์ห่วย” ที่กำไร 4 ปี ต้องหมดไปกับการขาดทุนเพียงปีเดียว ข้อห้าเป็นเรื่องเชิงคุณภาพที่จะบอกว่า เป็นกิจการที่แย่หรือไม่ก็คือ จำนวนผู้ผลิตหรือคู่แข่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงที่เข้ามาแข่งขันในตลาด เดียวกัน นี่อาจจะรวมถึงคู่แข่ง หรือสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศด้วย ถ้าดูแล้วคู่แข่งมีเต็มไปหมด แบบนี้ต้องสงสัยว่า จะเป็นกิจการในกลุ่ม “โชว์ห่วย” ที่อาจจะทำกำไรได้ยาก ข้อหก ลองคิดดูว่า สินค้าที่บริษัทขาย คนซื้อจะมีความภักดีต่อยี่ห้อมากน้อย แค่ไหน หรือคนสนใจโปรโมชั่น หรือราคามากกว่า ถ้าเป็นอย่างหลัง โอกาสคือบริษัท เป็นผู้ผลิต หรือขายสินค้า “โชว์ห่วย” ที่มักจะไม่สามารถทำกำไรที่ดีกว่าปกติได้ ข้อเจ็ด ในบางครั้งบริษัท “โชว์ห่วย” อาจจะมีข้อมูลดีมากติดต่อกันอาจจะถึง 4-5 ปี จนทำให้เราเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัท “โชว์สวย” ที่จริงบริษัทเหล่านี้ อาจจะดียิ่งกว่าบริษัทที่ดีเยี่ยมด้วยซ้ำ เพราะตัวเลขทุกตัวเติบโตขึ้นแรงต่อเนื่องกันหลายปี แต่ข้อมูลด้านคุณภาพบอกว่าน่าจะเป็นบริษัท “โชว์ห่วย” เหตุผลที่ตัวเลขดีติดต่อกันหลายปีนั้น อาจเกิดจากสถานการณ์ผิดปกติบางอย่างเช่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านของอุปสงค์-อุปทาน อย่างที่ไม่มีคนคาดคิดมาก่อนและการปรับตัวของกำลังการผลิตทำไม่ได้เร็วพอ ราคาสินค้าอาจเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานหลายปี ทำให้บริษัทมีกำไรน่าประทับใจ จนคนเข้าใจคุณสมบัติของบริษัทผิดไป ข้อสุดท้ายคือ กรณีที่ตัวเลขบางตัว เช่น กำไรต่อยอดขายอาจจะไม่สูง เช่นเดียวกับกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่อาจจะปริ่มๆ ที่ 10% ต้นๆ ตัวสินค้าที่ขาย อาจดูเหมือนว่า เป็นสินค้าที่คนไม่ติดยึดยี่ห้อแต่เน้นราคามากกว่า เช่นเดียวกัน คู่แข่งที่มีศักยภาพ ก็มีอยู่มาก ดูแล้วอาจจะบอกว่าน่าจะเป็น “โชว์ห่วย” ตัวเลขกำไรมีความสม่ำเสมอ ปีแล้วปีเล่าและอาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในกรณีแบบนี้เราอาจต้องดูลึกลงไปอีกหน่อยว่า บางทีบริษัทอาจมี “Local Monopoly” หรือมีพลังทางตลาด เพราะสถานที่ตั้งของกิจการ หรือร้านค้าที่ทำให้คู่แข่งไม่สามารถมาแข่งขันได้หรือเปล่า เพราะกรณีแบบนี้ ลูกค้าที่อยู่ในรัศมีการเดินทาง อาจต้องการใช้บริการจากบริษัทมากกว่าจะเดินทางไปหาบริการจากคู่แข่ง ผลคือ การแข่งขันโดยใช้ราคาก็ไม่ถึงกับรุนแรงจนหากำไรไม่ได้ การที่จะสรุป ว่าหุ้น หรือกิจการตัวไหนน่าจะเป็น “โชว์ห่วย” หรือตัวไหนน่า จะเป็น “โชว์สวย” นอกจากการดูข้อมูลด้านตัวเลขและข้อมูลด้านคุณภาพดังที่กล่าวมาแล้ว บางทีเราอาจต้องดูอย่างอื่นๆ ที่ผมนึกไม่ถึง หรือรายละเอียดที่ไม่สามารถเขียนได้หมด จริงอยู่ กิจการหรือบริษัทหลายๆ แห่งนั้นมี “หลักฐาน” ทั้งที่เป็นตัวเลขและคุณสมบัติอย่างอื่นบอกว่า เป็น “โชว์ห่วย” แต่หลายๆ บริษัทก็ไม่ชัด และหลายบริษัท อาจจะเป็นข้อยกเว้น เพราะเหตุผลพิเศษอย่างอื่นทำให้ไม่ใช่ เมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว เราสามารถตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นได้ โดยอิงอยู่กับคุณค่าที่ควรจะเป็นของมัน นั่นก็คือ หุ้น “โชว์ห่วย” เราจะให้มูลค่าที่สูงมากไม่ได้ คิดจากค่า PE และเฉพาะ PB ที่ต้องไม่สูง มิฉะนั้นเราอาจจะเสียหายเมื่อในที่สุดตัวตนที่แท้จริงของกิจการปรากฏ ออกมา ขอบคุณ http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20130423/501689/โชว์ห่วย.html
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)