เศรษฐกิจเหลือ 4 การเมืองเหลือ 0 ???
อือมม์ม์ม์...เห็นข่าวแวบๆ ว่า สถาบันทางเศรษฐกิจ อย่างศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของปีนี้ลงไปอีกซะแว้วว์ว์ว์ จากที่เคยคาดๆ เอาไว้ว่าอาจพอโตได้ซัก 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะฐานตัวเลขในปีที่ผ่านมา มันออกจะต่ำๆ เตี้ยๆ ชนิดตูดแทบติดดินอยู่แล้ว แต่ไปๆ-มาๆ ว่ากันว่า...อาจจะเหลือแค่ 4.3-4.1 หรือดีไม่ดี อาจเหลือแค่ 4 แค่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
-----------------------------------------------
ก่อนหน้านี้...ไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒน์ แบงก์ชาติ หรือทีดีอาร์ไอ ก็ดูจะเห็นพ้องไปในแนวเดียวกัน คือออกไปทางไม่ใช่เฉพาะแค่ตูด แต่อาจจัดอยู่ในระดับ ดากครูด ไปกับพื้นเอาเลยถึงขั้นนั้น อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจเก่า หรือเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่ายุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือกระทั่งคุณพี่จีน ล้วนแล้วแต่ออกอาการหงอยเหงา เศร้าซึม ไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้ง ไม้ตาย เท่าที่เหลืออยู่เพียงด้ามเดียว นั่นก็คือ การกระตุ้นการลงทุนโดยภาครัฐ ไปๆ-มาๆ มันชักกลายสภาพไปเป็น ไม้ตีพริก หรือเป็น สากกะเบือ ที่เอาไว้อมเล่น พอให้แก้เบื่อ แก้เซ็งไปวันๆ อาจคงพอได้ แต่จะเอามาทิ่ม มาตำ มาโขลกใส่ครก เพื่อให้เกิดรสชาติจี๊ดๆ จ๊าดๆ แบบประมาณส้มตำไทยใส่ปูนั้น น่าจะลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...
-----------------------------------------------------
โดยเฉพาะที่เคยเก็งๆ กันไว้ว่า การนำเอาเงินกู้ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท มาละลาย (แม่) น้ำนั้น นอกจากจะช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะใครต่อใคร ไปพร้อมๆ กับเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดท่านสั่ง สอย หรือสั่งให้กลับไปทำ ประชาพิจารณ์ ตามกฎเกณฑ์และกติกา ให้ถูกต้องซะก่อน โดยกิริยาอาการของรัฐบาล...ก็แทบไม่ต่างไปจากริดสีดวงทวารกำเริบขึ้นมาโดย ทันที คิดจะนั่งก็นั่งไม่ค่อยถนัด จะยืนตากลมไปเรื่อยๆ ก็ชักจะเมื่อยขา ถึงจะพยายามรวบหัว รวบหาง เปลี่ยนกรรมวิธี ประชาพิจารณ์ ให้กลายเป็น ประชานิทรรศการ กันแทนที่ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากยังไม่ได้มีการทำรายงาน การประเมินผลสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกๆ กันว่า EIA และรายงานการประเมินผลกระทบสุขภาพ ที่เรียกๆ กันว่า HIA ให้เป็นกิจจะลักษณะ ระหว่างมุ่งแต่จะเดินหน้าเพียงลูกเดียวเท่านั้น เผลอๆ อาจถึงขึ้น ดากหลุด เอาง่ายๆ!!!
-----------------------------------------------------------
ยิ่งเมื่อเจอกับกรณี เค วอเตอร์ ถูกกล่าวหาว่าเป็น เค วอต้ม ซะดื้อๆ ไม่ว่า หมา หรือ เสือ หรือ ผี มีแต่ต้องออกอาการหงอยย์ย์ย์ไปตามระเบียบ ลดปริมาณการเห่า การกัด และการหลอกผู้อื่น อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ความพยายามที่จะเดินหน้าในแบบ สร้างไป-ออกแบบไป แม้ว่ามันอาจช่วยให้เม็ดเงิน 3.5 แสนล้านบาท ไหลมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึง อัตราเสี่ยง ไม่ว่าในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือแทบทุกๆ เรื่องก็ว่าได้ ต้องเรียกว่า...เกือบมองไม่เห็นความคุ้มค่า คุ้มราคา ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...
------------------------------------------------------------
โดยเฉพาะใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียนเรื่อง ถอดบทเรียนเค วอเตอร์กับโครงการสี่แม่น้ำ ของ พ.ต.ท.ปริญญา เจริญบัณฑิต นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวางแผนผังและเมือง หนึ่งในสมาชิกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศเกาหลี ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล ที่เว็บไซต์ คมชัดลึก เค้าได้ไปหยิบเอามาจากเฟซบุ๊ก Lek Parinya แล้วนำมาเผยแพร่ ให้บรรดาชาวไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา ได้รับทราบ เพื่อกระตุ้นต่อมสำนึก หรือเพื่อให้เกิดความตระหนักเอาไว้บ้าง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยข้อมูล ด้วยมุมมองอันลุ่มลึก ตรงไป-ตรงมา ตามแบบฉบับนักวิชาการประเภทของจริง-ของแท้ ด้วยภาษาที่เรียบง่ายและแสนสุภาพ ใครที่ยังเป็นคนไทยแท้ๆ หรือยังมีความเป็นไทยหลงเหลืออยู่บ้าง คงอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งคำถามว่า การจับพลัด จับผลู ไปคว้าเอาบริษัทเกาหลี มาปิดประตูตีแมว ประทานโทษ...มาบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย โดยไม่คิดคลำหัว คลำหาง ให้ชัดๆ ลงไปซะก่อน มันไม่น่าจะถูกเรื่อง ถูกหลัก กันซักเท่าไหร่นัก...
--------------------------------------------------------------
สรุปรวมความว่า...ถึงแม้จะเซ็นสัญญาเงินกู้ หรือเอาเงินที่กู้ๆ ออกมาใช้บ้างแล้ว แต่โอกาสที่จะใช้ให้หมด ใช้ให้เกลี้ยงไปทั้ง 3.5 แสนล้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ขี้แตก ขี้แตน หรือเพื่อให้ใครคนใด คนหนึ่ง อิ่มเอม เปรมปรีดิ์ ระดับขี้แล้ว ขี้อีก เอาไป-เอามา...มันน่าจะลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะดูๆ มันจะติดๆ ขัดๆ ไปซะทุกขั้นตอน ไม่ต่างอะไรไปจากเงินกู้อีก 2.2 ล้านล้านนั่นแหละ ดีไม่ดี...อาจยังไม่ทันได้ใช้ซักบาท บรรดานักกระตุ้นที่มีอยู่มากมายในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าประเภทถั่งเช่า หรือไวอะกร้า ก็ตามแต่ อาจดันหัวใจวายตายไปซะก่อน เพราะขณะที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ กำลังทำท่าว่าจะไหลทะรูดทะราด ลงมาระดับเหลือ 4 เหลือ 3 ระดับ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล จะเหลืออยู่แค่ซัก 0 หรือไหลถึงขั้นติดลบไปแล้วก็ไม่แน่!!!
-------------------------------------------------------------
อย่างที่รัฐมนตรีคลัง เดอะโต้ง กิตติรัตน์ ได้เน้นย้ำเอาไว้เมื่อวันวานนั่นแหละว่า เศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องของความมั่นใจ หรือความเชื่อมั่น แต่อย่างว่า...จะไปโยนบาปให้ฝ่ายค้านโดยลำพัง ว่าเอามาเป็นเกมการเมือง จนทำให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือ ในเศรษฐกิจไทยลดลง มันออกจะเป็นอะไรที่น่า กระด๊ากก์ก์ปาก อยู่พอสมควร เพราะโดยตัวของรัฐมนตรีคลังเองนั่นแหละ ไวท์ลาย ซะจนแทบไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรโกหก ต่อไปอีกแล้ว ยิ่งถ้าไล่ไปถึงผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลัง ของรัฐมนตรีแต่ละราย รวมถึงนายกรัฐมนตรีอีกด้วยก็ได้ อันนั้น...ทั้งไวท์ลาย เรดลาย แบล็กลาย มีครบหมด แล้วยังงี้มันจะไม่รูด ไม่ร่วง ระดับไม่รู้กี่ต่อกี่เปอร์เซ็นต์ ได้อย่างไร???
--------------------------------------------------------------
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Myers...Life is like the peeling of an onion. One skin after another of self-deception and pretence do I strip off. In the process my eyes water and my vanity smarts. - ชีวิตเหมือนกับการลอกหัวหอม ข้าพเจ้าลอกผิวแห่งการหลอกตนเองและการเสแสร้งออกทีละชิ้นๆ ขณะที่น้ำตาของข้าพเจ้าไหล กิเลสก็เพิ่มพูน...รัฐธรรมนูญ
ขอบคุณ... http://www.thaipost.net/news/100713/76196 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
อือมม์ม์ม์...เห็นข่าวแวบๆ ว่า สถาบันทางเศรษฐกิจ อย่างศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของปีนี้ลงไปอีกซะแว้วว์ว์ว์ จากที่เคยคาดๆ เอาไว้ว่าอาจพอโตได้ซัก 5 เปอร์เซ็นต์ เพราะฐานตัวเลขในปีที่ผ่านมา มันออกจะต่ำๆ เตี้ยๆ ชนิดตูดแทบติดดินอยู่แล้ว แต่ไปๆ-มาๆ ว่ากันว่า...อาจจะเหลือแค่ 4.3-4.1 หรือดีไม่ดี อาจเหลือแค่ 4 แค่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ----------------------------------------------- ก่อนหน้านี้...ไม่ว่าจะเป็นสภาพัฒน์ แบงก์ชาติ หรือทีดีอาร์ไอ ก็ดูจะเห็นพ้องไปในแนวเดียวกัน คือออกไปทางไม่ใช่เฉพาะแค่ตูด แต่อาจจัดอยู่ในระดับ ดากครูด ไปกับพื้นเอาเลยถึงขั้นนั้น อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจเก่า หรือเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่ายุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือกระทั่งคุณพี่จีน ล้วนแล้วแต่ออกอาการหงอยเหงา เศร้าซึม ไปด้วยกันทั้งสิ้น อีกทั้ง ไม้ตาย เท่าที่เหลืออยู่เพียงด้ามเดียว นั่นก็คือ การกระตุ้นการลงทุนโดยภาครัฐ ไปๆ-มาๆ มันชักกลายสภาพไปเป็น ไม้ตีพริก หรือเป็น สากกะเบือ ที่เอาไว้อมเล่น พอให้แก้เบื่อ แก้เซ็งไปวันๆ อาจคงพอได้ แต่จะเอามาทิ่ม มาตำ มาโขลกใส่ครก เพื่อให้เกิดรสชาติจี๊ดๆ จ๊าดๆ แบบประมาณส้มตำไทยใส่ปูนั้น น่าจะลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ... ----------------------------------------------------- โดยเฉพาะที่เคยเก็งๆ กันไว้ว่า การนำเอาเงินกู้ประมาณ 3.5 แสนล้านบาท มาละลาย (แม่) น้ำนั้น นอกจากจะช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะใครต่อใคร ไปพร้อมๆ กับเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดท่านสั่ง สอย หรือสั่งให้กลับไปทำ ประชาพิจารณ์ ตามกฎเกณฑ์และกติกา ให้ถูกต้องซะก่อน โดยกิริยาอาการของรัฐบาล...ก็แทบไม่ต่างไปจากริดสีดวงทวารกำเริบขึ้นมาโดย ทันที คิดจะนั่งก็นั่งไม่ค่อยถนัด จะยืนตากลมไปเรื่อยๆ ก็ชักจะเมื่อยขา ถึงจะพยายามรวบหัว รวบหาง เปลี่ยนกรรมวิธี ประชาพิจารณ์ ให้กลายเป็น ประชานิทรรศการ กันแทนที่ แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากยังไม่ได้มีการทำรายงาน การประเมินผลสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกๆ กันว่า EIA และรายงานการประเมินผลกระทบสุขภาพ ที่เรียกๆ กันว่า HIA ให้เป็นกิจจะลักษณะ ระหว่างมุ่งแต่จะเดินหน้าเพียงลูกเดียวเท่านั้น เผลอๆ อาจถึงขึ้น ดากหลุด เอาง่ายๆ!!! ----------------------------------------------------------- ยิ่งเมื่อเจอกับกรณี เค วอเตอร์ ถูกกล่าวหาว่าเป็น เค วอต้ม ซะดื้อๆ ไม่ว่า หมา หรือ เสือ หรือ ผี มีแต่ต้องออกอาการหงอยย์ย์ย์ไปตามระเบียบ ลดปริมาณการเห่า การกัด และการหลอกผู้อื่น อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ความพยายามที่จะเดินหน้าในแบบ สร้างไป-ออกแบบไป แม้ว่ามันอาจช่วยให้เม็ดเงิน 3.5 แสนล้านบาท ไหลมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่เมื่อคำนึงถึง อัตราเสี่ยง ไม่ว่าในเรื่องเงินๆ ทองๆ หรือแทบทุกๆ เรื่องก็ว่าได้ ต้องเรียกว่า...เกือบมองไม่เห็นความคุ้มค่า คุ้มราคา ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย... ------------------------------------------------------------ โดยเฉพาะใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้ไปอ่านข้อเขียนเรื่อง ถอดบทเรียนเค วอเตอร์กับโครงการสี่แม่น้ำ ของ พ.ต.ท.ปริญญา เจริญบัณฑิต นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวางแผนผังและเมือง หนึ่งในสมาชิกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ ณ ประเทศเกาหลี ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติกรุงโซล ที่เว็บไซต์ คมชัดลึก เค้าได้ไปหยิบเอามาจากเฟซบุ๊ก Lek Parinya แล้วนำมาเผยแพร่ ให้บรรดาชาวไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮา ได้รับทราบ เพื่อกระตุ้นต่อมสำนึก หรือเพื่อให้เกิดความตระหนักเอาไว้บ้าง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยข้อมูล ด้วยมุมมองอันลุ่มลึก ตรงไป-ตรงมา ตามแบบฉบับนักวิชาการประเภทของจริง-ของแท้ ด้วยภาษาที่เรียบง่ายและแสนสุภาพ ใครที่ยังเป็นคนไทยแท้ๆ หรือยังมีความเป็นไทยหลงเหลืออยู่บ้าง คงอดไม่ได้ที่จะต้องตั้งคำถามว่า การจับพลัด จับผลู ไปคว้าเอาบริษัทเกาหลี มาปิดประตูตีแมว ประทานโทษ...มาบริหารจัดการน้ำในประเทศไทย โดยไม่คิดคลำหัว คลำหาง ให้ชัดๆ ลงไปซะก่อน มันไม่น่าจะถูกเรื่อง ถูกหลัก กันซักเท่าไหร่นัก... -------------------------------------------------------------- สรุปรวมความว่า...ถึงแม้จะเซ็นสัญญาเงินกู้ หรือเอาเงินที่กู้ๆ ออกมาใช้บ้างแล้ว แต่โอกาสที่จะใช้ให้หมด ใช้ให้เกลี้ยงไปทั้ง 3.5 แสนล้าน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ขี้แตก ขี้แตน หรือเพื่อให้ใครคนใด คนหนึ่ง อิ่มเอม เปรมปรีดิ์ ระดับขี้แล้ว ขี้อีก เอาไป-เอามา...มันน่าจะลำบากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะดูๆ มันจะติดๆ ขัดๆ ไปซะทุกขั้นตอน ไม่ต่างอะไรไปจากเงินกู้อีก 2.2 ล้านล้านนั่นแหละ ดีไม่ดี...อาจยังไม่ทันได้ใช้ซักบาท บรรดานักกระตุ้นที่มีอยู่มากมายในรัฐบาลชุดนี้ ไม่ว่าประเภทถั่งเช่า หรือไวอะกร้า ก็ตามแต่ อาจดันหัวใจวายตายไปซะก่อน เพราะขณะที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศ กำลังทำท่าว่าจะไหลทะรูดทะราด ลงมาระดับเหลือ 4 เหลือ 3 ระดับ ความเชื่อมั่นในรัฐบาล จะเหลืออยู่แค่ซัก 0 หรือไหลถึงขั้นติดลบไปแล้วก็ไม่แน่!!! ------------------------------------------------------------- อย่างที่รัฐมนตรีคลัง เดอะโต้ง กิตติรัตน์ ได้เน้นย้ำเอาไว้เมื่อวันวานนั่นแหละว่า เศรษฐกิจนั้นเป็นเรื่องของความมั่นใจ หรือความเชื่อมั่น แต่อย่างว่า...จะไปโยนบาปให้ฝ่ายค้านโดยลำพัง ว่าเอามาเป็นเกมการเมือง จนทำให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือ ในเศรษฐกิจไทยลดลง มันออกจะเป็นอะไรที่น่า กระด๊ากก์ก์ปาก อยู่พอสมควร เพราะโดยตัวของรัฐมนตรีคลังเองนั่นแหละ ไวท์ลาย ซะจนแทบไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรโกหก ต่อไปอีกแล้ว ยิ่งถ้าไล่ไปถึงผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลัง ของรัฐมนตรีแต่ละราย รวมถึงนายกรัฐมนตรีอีกด้วยก็ได้ อันนั้น...ทั้งไวท์ลาย เรดลาย แบล็กลาย มีครบหมด แล้วยังงี้มันจะไม่รูด ไม่ร่วง ระดับไม่รู้กี่ต่อกี่เปอร์เซ็นต์ ได้อย่างไร??? -------------------------------------------------------------- ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Myers...Life is like the peeling of an onion. One skin after another of self-deception and pretence do I strip off. In the process my eyes water and my vanity smarts. - ชีวิตเหมือนกับการลอกหัวหอม ข้าพเจ้าลอกผิวแห่งการหลอกตนเองและการเสแสร้งออกทีละชิ้นๆ ขณะที่น้ำตาของข้าพเจ้าไหล กิเลสก็เพิ่มพูน...รัฐธรรมนูญ ขอบคุณ... http://www.thaipost.net/news/100713/76196
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)