คอลัมน์: โลกใบใหม่: บรรษัทการเมืองที่กำลังไล่ล่าสังคมไทย!
tapichart@hotmail.com
ความระอุร้อนทางการเมืองที่ปะทุขึ้นขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นความเคลื่อนไหวสั่งการจากผู้มีบารมีเหนือ พรรคเพื่อไทยที่อยู่นอกประเทศ ความเชื่อมโยงของกิจกรรมและเหตุการณ์ทางการเมืองจากแกนนำฝ่าย รัฐบาลจึงเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่ ผลประโยชน์ทางการเมือง-อำนาจ และ ทุน-เงินตรา เป็นสำคัญ
การสถาปนา "ระบอบทักษิณ" ภายใต้เงาของวาทกรรม "ประชาธิปไตย" ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทยนั้น มาถึงวันนี้ระบอบดังกล่าวยังคงแข็งแกร่งในทุกกระแสความเคลื่อนไหว ทั้งใต้ดิน บนดิน และผ่านการบริหารประเทศของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่นับวันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะพรรคการเมือง/การบริหารจัดการอำนาจทางการเมืองในระบอบทักษิณ นั้น เป็นแบบ "บรรษัทการเมือง" ที่ยึดเอา "ทุน" และ "ผลประโยชน์" เป็นที่ตั้ง ซึ่งสอดรับกับสังคมเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ที่เคลื่อนตัวอยู่ในความแบน ราบของ "โลกผลประโยชน์" ที่มีการเชื่อมข่าวสาร/ทุน ถึงกันอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี ที่สามารถเชื่อมต่อทุกเรื่องถึงกันในเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว! ใครที่เผลอเข้าใจผิดคิดว่าระบอบทักษิณปรับโฉมหน้า/ปรับกระบวนระบบใหม่ ไปแล้วนั้น คิดผิด! ซ้ำร้ายยิ่งจะขยายอิทธิพลมากขึ้น/ใช้ความรุนแรงมากขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ
บรรษัทการเมืองยุค "ยิ่งลักษณ์" ครองอำนาจ แม้จะดูอ่อนโยน/ดราม่า/เนียนกว่ายุคพี่ชาย ตั้งแต่การเปิดตัวก้าวสู่เส้นทางการเมืองแบบโปร่งเบาสบาย "แก้ไขไม่แก้แค้น" กวาดชัยชนะเกือบ 300 ที่นั่ง ชูภาพลักษณ์สตรีเพศที่มีความอ่อนน้อมชื่นชมแนวทางประชาธิปไตย แต่ลึกๆ แล้วยิ่งวันก็จะยิ่งดุดัน/โหดหนัก/และกินรวบไม่แพ้บรรษัทการเมือง ยุคพี่ชาย เพียงแต่ความเคลื่อนไหวในวันนี้ของผู้นำหญิงมีการสร้างวาทกรรมที่ เกิดจากความขัดแย้งในสังคมหลายกลุ่มมารองรับมากกว่ายุคก่อน มีสื่อสนับสนุนมากกลุ่มกว่า มีความเคลื่อนไหวที่ดูอ่อนโยนเนียนกว่า มีความร่วมมือกันจัดการผลประโยชน์เป็นระบบกว่าทำให้ดูเหมือนไม่ มูมมาม และไม่มีการแกว่งปากหาศัตรูเหมือนยุคก่อน แม้บางกลุ่มในสังกัดจะแสดงอาการดิบถ่อยเป็นบางครั้ง เช่น ที่ไปกดดันศาลฯ ไปเถื่อนถ่อยเล่นงานสื่อเมื่อไม่กี่วันมานี้ ฯลฯ
โดยเนื้อแท้ของหัวใจความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และกลไกในการทำงานการเมืองแบบ "บรรษัท" จะยึดเอา "ผลประโยชน์" เป็นตัวตั้งสำคัญ ส่งผลให้ "เงินตรา" มีอำนาจครอบงำสูงสุด ในฐานที่เป็นหลักการในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนดูเหมือนว่าไม่มีหลักการอื่นใดเป็นทางเลือกอีกแล้ว! ชัยชนะของ "ตลาด" เหนือรัฐ/เหนือคุณธรรม/เหนือสิทธิส่วนบุคคลจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา ของกลไกแบบนี้ ซึ่งด้วยเหตุที่ผลประโยชน์และเงินเป็นใหญ่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองตามแนวทางนี้จึงเคลื่อนไหวปฏิบัติการ ทางการเมืองด้วยแนวทาง "ประชานิยม" เพื่อมุ่งสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนทุกชั้นชน เพื่อให้เข้าร่วมเสพผลประโยชน์ (ปลายแถว) และเปลี่ยนความคิด-กระบวนทัศน์แบบถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นหนึ่งในกล ไกของ "บรรษัท" ผ่านกิจกรรมความคิดและกระแสที่มีการจัดตั้งขึ้นโดยปริยาย และกลายเป็นการเมืองระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่ใช้เงิน/ผลประโยชน์เป็น ทั้ง "ตัวล่อ" "ตัวเร่ง" และ "เป้าหมาย" ที่มุ่งตอบสนองความร่วมมือทางการเมืองซึ่งกันและกัน ระหว่างพรรคและกลุ่มสนับสนุน ขณะที่อำนาจและผลประโยชน์มากมายมหาศาลจะตกอยู่กับผู้นำและวงศาคณาญาติ เป็นหลัก
สมการความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณ ที่พยายามกลับมาครองสังคมการเมืองแบบเผชิญหน้าอีกครั้งในสังคมไทย ได้ปรากฏให้เห็นความเคลื่อนไหวดังนี้คือ การจัดการธุรกิจการเมืองแบบบรรษัท + การตลาดสร้างภาพ + เพศวิถีแบบ ดราม่า + ประชานิยม + ระบบอุปถัมภ์ผลประโยชน์และเงินตรา + การชิงอำนาจด้วยสารพัดวิธีการ + ไพ่การเมืองหลายหน้า + ผลประโยชน์ซ้อนทับคอรัปชั่น + วาทกรรมประชาธิปไตยลวง + ความเคลื่อนไหวล้างแค้น + ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจ + ร่วมมือกับทุกคนทุกกลุ่มตามที่ต้องการใช้งานในแต่ละสถานการณ์/โอกาส/ และกิจกรรม ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์จากสมการที่เคลื่อนไหวนี้ย่อมจะไม่ขับ เคลื่อนสังคมการเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ความเป็น "ประชาธิปไตย" ที่แท้จริงแน่ ไปได้ไกลสุดของความเคลื่อนไหว นี่คือการตอกลิ่มบรรดาสาวกให้จมดิ่งลงในความเชื่อที่ถูกจัดตั้งไว้ หรือไม่ก็บูชาประโยชน์โพดผลที่ได้รับเพื่อฝังความจงรักภักดีไว้กับ "นายหัว" หรืออุดมการณ์จอมปลอมที่ถูกดูดให้เข้าร่วม เพราะอำนาจการเมืองในรูปบรรษัททางการเมืองไม่สนใจในเรื่องอุดม การณ์ประชาธิปไตยใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ต้องการ "ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของอำนาจและการใช้อำนาจ" ที่ซ่อนอยู่ใต้ความเคลื่อนไหวที่เนียนไว้กับระบบตลาด/การเลือกตั้ง/ และเสียงข้างมาก ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมประชาธิปไตยของกลุ่มพวกนี้มักจะย่อสาระสำคัญให้ เข้าใจรับรู้กันอยู่แค่ "เสียงส่วนใหญ่" กับ "การเลือกตั้ง" เท่านั้น เพราะจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ถ้าได้ครองอำนาจอยู่ ในขณะที่การบริหารจัดการก็ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตย 3 ส่วนคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ รวมทั้งการตรวจสอบอื่นๆ ขององค์กรอิสระที่ขวางผลประโยชน์ การไล่ล่ากดดันทำลาย อำนาจตุลาการ ที่อำนาจของตัวเองยังครอบงำไม่ได้เช่นกับอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ จึงเกิดขึ้นตลอดมาทุกรูปแบบ มีสมุนได้ใช้วิธีการหยาบช้าสามานย์ติดสินบนถุงขนม ไปจนถึงการเชื่อมผลประโยชน์เข้าหากลุ่มวิชาการในสถาบันการศึกษา ต่างๆ รวมทั้งแสดงความดิบถ่อยตั้งม็อบไปก่นด่า/กดดันตุลาการฯ นี่คือความจริงที่ประจักษ์ในสังคมที่ผู้คนได้พบเห็นอยู่ในวันนี้!
ที่จริงแล้วกลไกและเป้าหมายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และความผาสุกของประชาชนในทุกมิติ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจจนทำให้ต้อง สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป! การเมืองในลัทธิบรรษัทนิยมนั้นได้สร้างความวุ่นวายในตลาดการเงิน เมื่อยุคปี 1998 จนสังคมโลกมีการทบทวนพิจารณาร่วมตระหนักถึงภัยในยุคโลกาภิวัตน์ว่าจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันมาคำนึงถึงมิติทางสังคมและอื่นๆ รวมถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนให้มาก เพราะพัฒนาการของวัฏจักรผลประโยชน์ที่เดินตามกลไกบรรษัทการเมือง ซึ่งกำกับสังคมเศรษฐกิจนั้น ได้สร้างมายาภาพทำให้เกิดความเชื่อว่า ขอให้มีตลาดเสรีเท่านั้นแล้วสังคมเศรษฐกิจทั้งระบบก็จะดำเนินไป ได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้พบว่า นั่นคือการโป้ปดหลอกลวงอย่างแท้จริง! ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ลวงโลก/หลอกตัวเองได้สมบูรณ์ ที่สุด ในฐานที่ใช้สัญลักษณ์ได้ดีที่สุดและมีภาษาพูดที่สื่อสารได้
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
tapichart@hotmail.com ความระอุร้อนทางการเมืองที่ปะทุขึ้นขณะนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นความเคลื่อนไหวสั่งการจากผู้มีบารมีเหนือ พรรคเพื่อไทยที่อยู่นอกประเทศ ความเชื่อมโยงของกิจกรรมและเหตุการณ์ทางการเมืองจากแกนนำฝ่าย รัฐบาลจึงเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่ ผลประโยชน์ทางการเมือง-อำนาจ และ ทุน-เงินตรา เป็นสำคัญ การสถาปนา "ระบอบทักษิณ" ภายใต้เงาของวาทกรรม "ประชาธิปไตย" ที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทยนั้น มาถึงวันนี้ระบอบดังกล่าวยังคงแข็งแกร่งในทุกกระแสความเคลื่อนไหว ทั้งใต้ดิน บนดิน และผ่านการบริหารประเทศของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ที่นับวันก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะพรรคการเมือง/การบริหารจัดการอำนาจทางการเมืองในระบอบทักษิณ นั้น เป็นแบบ "บรรษัทการเมือง" ที่ยึดเอา "ทุน" และ "ผลประโยชน์" เป็นที่ตั้ง ซึ่งสอดรับกับสังคมเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ที่เคลื่อนตัวอยู่ในความแบน ราบของ "โลกผลประโยชน์" ที่มีการเชื่อมข่าวสาร/ทุน ถึงกันอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี ที่สามารถเชื่อมต่อทุกเรื่องถึงกันในเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว! ใครที่เผลอเข้าใจผิดคิดว่าระบอบทักษิณปรับโฉมหน้า/ปรับกระบวนระบบใหม่ ไปแล้วนั้น คิดผิด! ซ้ำร้ายยิ่งจะขยายอิทธิพลมากขึ้น/ใช้ความรุนแรงมากขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ บรรษัทการเมืองยุค "ยิ่งลักษณ์" ครองอำนาจ แม้จะดูอ่อนโยน/ดราม่า/เนียนกว่ายุคพี่ชาย ตั้งแต่การเปิดตัวก้าวสู่เส้นทางการเมืองแบบโปร่งเบาสบาย "แก้ไขไม่แก้แค้น" กวาดชัยชนะเกือบ 300 ที่นั่ง ชูภาพลักษณ์สตรีเพศที่มีความอ่อนน้อมชื่นชมแนวทางประชาธิปไตย แต่ลึกๆ แล้วยิ่งวันก็จะยิ่งดุดัน/โหดหนัก/และกินรวบไม่แพ้บรรษัทการเมือง ยุคพี่ชาย เพียงแต่ความเคลื่อนไหวในวันนี้ของผู้นำหญิงมีการสร้างวาทกรรมที่ เกิดจากความขัดแย้งในสังคมหลายกลุ่มมารองรับมากกว่ายุคก่อน มีสื่อสนับสนุนมากกลุ่มกว่า มีความเคลื่อนไหวที่ดูอ่อนโยนเนียนกว่า มีความร่วมมือกันจัดการผลประโยชน์เป็นระบบกว่าทำให้ดูเหมือนไม่ มูมมาม และไม่มีการแกว่งปากหาศัตรูเหมือนยุคก่อน แม้บางกลุ่มในสังกัดจะแสดงอาการดิบถ่อยเป็นบางครั้ง เช่น ที่ไปกดดันศาลฯ ไปเถื่อนถ่อยเล่นงานสื่อเมื่อไม่กี่วันมานี้ ฯลฯ โดยเนื้อแท้ของหัวใจความเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และกลไกในการทำงานการเมืองแบบ "บรรษัท" จะยึดเอา "ผลประโยชน์" เป็นตัวตั้งสำคัญ ส่งผลให้ "เงินตรา" มีอำนาจครอบงำสูงสุด ในฐานที่เป็นหลักการในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนดูเหมือนว่าไม่มีหลักการอื่นใดเป็นทางเลือกอีกแล้ว! ชัยชนะของ "ตลาด" เหนือรัฐ/เหนือคุณธรรม/เหนือสิทธิส่วนบุคคลจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา ของกลไกแบบนี้ ซึ่งด้วยเหตุที่ผลประโยชน์และเงินเป็นใหญ่ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองตามแนวทางนี้จึงเคลื่อนไหวปฏิบัติการ ทางการเมืองด้วยแนวทาง "ประชานิยม" เพื่อมุ่งสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนทุกชั้นชน เพื่อให้เข้าร่วมเสพผลประโยชน์ (ปลายแถว) และเปลี่ยนความคิด-กระบวนทัศน์แบบถอนรากถอนโคนจนกลายเป็นหนึ่งในกล ไกของ "บรรษัท" ผ่านกิจกรรมความคิดและกระแสที่มีการจัดตั้งขึ้นโดยปริยาย และกลายเป็นการเมืองระบบอุปถัมภ์ใหม่ที่ใช้เงิน/ผลประโยชน์เป็น ทั้ง "ตัวล่อ" "ตัวเร่ง" และ "เป้าหมาย" ที่มุ่งตอบสนองความร่วมมือทางการเมืองซึ่งกันและกัน ระหว่างพรรคและกลุ่มสนับสนุน ขณะที่อำนาจและผลประโยชน์มากมายมหาศาลจะตกอยู่กับผู้นำและวงศาคณาญาติ เป็นหลัก สมการความเคลื่อนไหวของระบอบทักษิณ ที่พยายามกลับมาครองสังคมการเมืองแบบเผชิญหน้าอีกครั้งในสังคมไทย ได้ปรากฏให้เห็นความเคลื่อนไหวดังนี้คือ การจัดการธุรกิจการเมืองแบบบรรษัท + การตลาดสร้างภาพ + เพศวิถีแบบ ดราม่า + ประชานิยม + ระบบอุปถัมภ์ผลประโยชน์และเงินตรา + การชิงอำนาจด้วยสารพัดวิธีการ + ไพ่การเมืองหลายหน้า + ผลประโยชน์ซ้อนทับคอรัปชั่น + วาทกรรมประชาธิปไตยลวง + ความเคลื่อนไหวล้างแค้น + ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจ + ร่วมมือกับทุกคนทุกกลุ่มตามที่ต้องการใช้งานในแต่ละสถานการณ์/โอกาส/ และกิจกรรม ซึ่งแน่นอนว่าปรากฏการณ์จากสมการที่เคลื่อนไหวนี้ย่อมจะไม่ขับ เคลื่อนสังคมการเมืองไทยให้ก้าวไปสู่ความเป็น "ประชาธิปไตย" ที่แท้จริงแน่ ไปได้ไกลสุดของความเคลื่อนไหว นี่คือการตอกลิ่มบรรดาสาวกให้จมดิ่งลงในความเชื่อที่ถูกจัดตั้งไว้ หรือไม่ก็บูชาประโยชน์โพดผลที่ได้รับเพื่อฝังความจงรักภักดีไว้กับ "นายหัว" หรืออุดมการณ์จอมปลอมที่ถูกดูดให้เข้าร่วม เพราะอำนาจการเมืองในรูปบรรษัททางการเมืองไม่สนใจในเรื่องอุดม การณ์ประชาธิปไตยใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ต้องการ "ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของอำนาจและการใช้อำนาจ" ที่ซ่อนอยู่ใต้ความเคลื่อนไหวที่เนียนไว้กับระบบตลาด/การเลือกตั้ง/ และเสียงข้างมาก ดังจะเห็นได้จากวาทกรรมประชาธิปไตยของกลุ่มพวกนี้มักจะย่อสาระสำคัญให้ เข้าใจรับรู้กันอยู่แค่ "เสียงส่วนใหญ่" กับ "การเลือกตั้ง" เท่านั้น เพราะจะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ถ้าได้ครองอำนาจอยู่ ในขณะที่การบริหารจัดการก็ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตย 3 ส่วนคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ รวมทั้งการตรวจสอบอื่นๆ ขององค์กรอิสระที่ขวางผลประโยชน์ การไล่ล่ากดดันทำลาย อำนาจตุลาการ ที่อำนาจของตัวเองยังครอบงำไม่ได้เช่นกับอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ จึงเกิดขึ้นตลอดมาทุกรูปแบบ มีสมุนได้ใช้วิธีการหยาบช้าสามานย์ติดสินบนถุงขนม ไปจนถึงการเชื่อมผลประโยชน์เข้าหากลุ่มวิชาการในสถาบันการศึกษา ต่างๆ รวมทั้งแสดงความดิบถ่อยตั้งม็อบไปก่นด่า/กดดันตุลาการฯ นี่คือความจริงที่ประจักษ์ในสังคมที่ผู้คนได้พบเห็นอยู่ในวันนี้! ที่จริงแล้วกลไกและเป้าหมายของการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และความผาสุกของประชาชนในทุกมิติ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจจนทำให้ต้อง สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป! การเมืองในลัทธิบรรษัทนิยมนั้นได้สร้างความวุ่นวายในตลาดการเงิน เมื่อยุคปี 1998 จนสังคมโลกมีการทบทวนพิจารณาร่วมตระหนักถึงภัยในยุคโลกาภิวัตน์ว่าจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันมาคำนึงถึงมิติทางสังคมและอื่นๆ รวมถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนให้มาก เพราะพัฒนาการของวัฏจักรผลประโยชน์ที่เดินตามกลไกบรรษัทการเมือง ซึ่งกำกับสังคมเศรษฐกิจนั้น ได้สร้างมายาภาพทำให้เกิดความเชื่อว่า ขอให้มีตลาดเสรีเท่านั้นแล้วสังคมเศรษฐกิจทั้งระบบก็จะดำเนินไป ได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้พบว่า นั่นคือการโป้ปดหลอกลวงอย่างแท้จริง! ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ลวงโลก/หลอกตัวเองได้สมบูรณ์ ที่สุด ในฐานที่ใช้สัญลักษณ์ได้ดีที่สุดและมีภาษาพูดที่สื่อสารได้ ขอบคุณ http://www.ryt9.com/s/tpd/1642884
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)