เมื่อการเมือง 'เขยื้อน' มวลชน 'ขยับ' เพื่อไทยเดินแรงสถานการณ์ 'ร้อนรุ่ม'
สถานการณ์การเมืองไทยกลับมา “ขมึงเกลียว” อีกครั้งหลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย “รุกคืบ” ทางการเมืองครั้งสำคัญด้วยการนำเรื่องร้อน 3 เรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาและสังคมไทยอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินครั้งที่ “มากที่สุด” ในประวัติศาสตร์และมีระยะเวลาชดใช้หนี้ “ยาวที่สุด” คือไม่ต่ำกว่า 50 ปี หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” ซึ่งเป็นความร่วมมือทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.เลือกตั้ง และการพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือ พ.ร.บ.ปรองดองโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “คดีความ” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ
“ความร้อนแรง” ทางการเมืองทวีคูณขึ้นทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ไว้พิจารณา เกิดการปะทะคารมและแง่มุมกฎหมายกับฝ่ายที่ให้การสนับ
สนุนพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงเกิดการเผชิญหน้ากับ ส.ส. และ ส.ว. 312 คน ที่เสนอแก้ไข ซึ่งเหมารวมว่าเป็นฝ่าย “นิติบัญญัติ”
ล่าสุดเกิดการจัดตั้ง “มวลชน” คนเสื้อแดงมาชุมนุมเรียกร้องและกดดันการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ จนเกิดการฟ้องร้องกันขึ้น
ใช่แต่ “มวลชน” ในส่วนของรัฐบาลอย่างคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ “ขยับ” พรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ก็ขยับลงพื้นที่เพื่อปราศรัยให้ข้อมูลและสร้างแนวร่วมกับประชาชน
ในส่วนของพรรคเพื่อไทยประเดิมเวทีที่ จ.อุดรธานี เป็นที่แรกและตามมาในอีกหลาย ๆ พื้นที่ในภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคกลาง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเดินหน้าจัดเวที “ผ่าความจริง” ซึ่งจากวันที่เริ่มต้นจนมาถึงวันนี้ก็ครบ 1 ปีแล้ว
ใช่แต่ “มวลชน” ของพรรคการเมืองเท่านั้นที่เริ่มขยับแข้งขยับขา ขณะนี้ได้เกิดการเคลื่อนไหวในส่วนของภาคประชาชนกันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มกรีนที่นำโดย นายสุริยะใส กตะศิลา ซึ่งเป็นอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การเกิดขึ้นของสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ที่นำโดย ธงชัย สุวรรณวิหค โดยมีเป้าหมายคือการต่อต้าน “ทุนนิยมสามานย์”
บทบาทของ “สันนิบาตฯ” ในครั้งนี้ดูแล้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับการก่อเกิดของกลุ่มม็อบสนามม้า นางเลิ้งที่นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ประกาศชุมนุมทางการเมืองเมื่อปีที่ผ่านมา
ถ้าจำกันได้การยุติการชุมนุมครั้งนั้น มีการทิ้งข้อความไว้ด้วยว่า อีกไม่นานการชุมนุมจะกลับมาใหม่
เมื่อหลาย ๆ สถานการณ์การเมือง “รุมเร้า” การเคลื่อนไหวมวลชนจึงเกิดขึ้นและเดินไปด้วยความคึกคัก
ที่ต้องจับตาคือพรรคเพื่อไทย วันนี้เลือกแล้วว่า จะเดินหน้าทางการเมืองแบบ “เดินเร็วเดินแรง” เพราะในสถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบทางการเมืองอย่างมหาศาลภายใต้กติกา ประชาธิปไตยที่ใช้เสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรอ เพราะการเป็นรัฐบาลให้นานที่สุดโดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แค่เป็นการ “พักรบ” เท่านั้น เพราะตราบใดที่เป้าหมายทางการเมืองยังไม่ถูกแก้ไข พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่หยุดเดิน
ชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ถืออำนาจบริหาร นั้นแค่บันไดขั้นหนึ่ง ขณะที่บันไดอีกขั้นหนึ่งคือการแก้ไข “กติกา” ซึ่งพรรคเพื่อไทยปูข้อมูลไว้แล้วว่า เป็น “ผลไม้พิษ” ซึ่งเกิดจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49
ทั้งการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” การพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองหรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้วนเป็นความพยายามสร้าง “กติกา” ขึ้นมาใหม่ของพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่า “ด่านสำคัญ” ทางการเมืองนั้น ไม่ได้อยู่ที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทางเป็น “ตัวเลือก” หรือ “คู่แข่ง” ทางการเมืองได้ หรือ “มวลชน” ซึ่งวันนี้ยังหา “เจ้าภาพ” ไม่ได้ แต่หากอยู่ที่องค์กรอิสระทางการเมืองที่ชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ
อย่าลืมว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับที่ทั้งแก้ไข ทั้งทำขึ้นมาใหม่ ล้วนต้องผ่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปิดฉาก “รบรอบใหม่” ทางการเมืองกับศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของพรรคเพื่อไทย ไม่เช่นนั้น “การต่อต้าน” จะออกมาตามลำดับอย่างเป็นระบบเช่นนี้หรือ
ช่วงระยะเวลา 3 เดือน ของการปิดสมัยประชุมสภา จึงเป็นช่วงเวลาที่พรรคการเมืองต้องทำงานมวลชนอย่างหนัก เพราะการปะทะกันอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในการเปิดประชุมสภาที่เรียกว่า สมัยสามัญทั่วไปในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งในสมัยประชุมนี้พรรคฝ่ายค้านจะได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อซัก ฟอกการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกครั้ง
เมื่อดูจากเป้าหมาย ดูจากความเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งสัญญาณที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งมาให้กับ ส.ส.ในพรรคไว้ว่าให้เดินหน้าชนเต็มที่ อย่างดีก็แค่ “ยุบสภา” ลงไปหาประชาชนเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า อย่างไรก็กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งซึ่งหากมาครั้งนี้ ก็จะสะดวกโยธินที่จะแก้ไขอะไรต่อมิอะไรได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
ในความได้เปรียบทางการเมืองที่มีอยู่อย่างมหาศาล พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเชื่อมั่นและไม่กลัวที่จะเดินหน้าทางการเมือง “ก้าว” ที่สำคัญก้าวนี้ต่อไป
เป็นการทำสงครามการเมืองครั้งใหม่ ที่ดูไปแล้วน่าจะใหญ่และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะนับวัน “ขั้วทางการเมือง” เริ่มเด่นชัดและไม่ยอมกันมากขึ้น ที่สำคัญนับวันสังคมไทยจะยิ่งหา “กรรมการ” ได้ยากขึ้น
ต้องยอมรับว่าวันนี้ “กองทัพ” ก็ไม่อยู่ในสถานะที่เป็น “กรรมการ” ได้
ยังดูไม่ออกและบอกไม่ถูกเลยว่า ในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย “สุมไฟการเมือง” กองใหม่นี้ขึ้นมา จะหาทางลงแบบสันติวิธีได้อย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างใช้ “กติกา” ถืออยู่โดยเชื่อว่า ทำได้เข้าต่อสู้กัน
ฝ่ายหนึ่งกำลัง “กินรวบ” พร้อมกับรุกคืบเพื่อสถาปนาการเมืองรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ “เนื้อใน” ไม่ต่างอะไรกับบริษัทที่แบ่งงานกันทำ สั่งซ้ายหันขวาหัน ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับและกำลังรวบรวมกำลังสร้างเครือข่ายเพื่อ “ต่อต้าน” และพร้อมจะทำทุกทางเพื่อหยุดขบวนการกินรวบในครั้งนี้เสีย
นี่จึงเป็น “เรื่องใหญ่” ที่ท้าทายสังคมไทยอย่างยิ่ง
ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/politics/200288 (ขนาดไฟล์: 167)
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมาก สถานการณ์การเมืองไทยกลับมา “ขมึงเกลียว” อีกครั้งหลังรัฐบาลพรรคเพื่อไทย “รุกคืบ” ทางการเมืองครั้งสำคัญด้วยการนำเรื่องร้อน 3 เรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาและสังคมไทยอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้เงินครั้งที่ “มากที่สุด” ในประวัติศาสตร์และมีระยะเวลาชดใช้หนี้ “ยาวที่สุด” คือไม่ต่ำกว่า 50 ปี หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” ซึ่งเป็นความร่วมมือทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.เลือกตั้ง และการพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หรือ พ.ร.บ.ปรองดองโดยมีเป้าหมายอยู่ที่ “คดีความ” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ “ความร้อนแรง” ทางการเมืองทวีคูณขึ้นทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ไว้พิจารณา เกิดการปะทะคารมและแง่มุมกฎหมายกับฝ่ายที่ให้การสนับ สนุนพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงเกิดการเผชิญหน้ากับ ส.ส. และ ส.ว. 312 คน ที่เสนอแก้ไข ซึ่งเหมารวมว่าเป็นฝ่าย “นิติบัญญัติ” ล่าสุดเกิดการจัดตั้ง “มวลชน” คนเสื้อแดงมาชุมนุมเรียกร้องและกดดันการทำงานของศาลรัฐธรรมนูญ จนเกิดการฟ้องร้องกันขึ้น ใช่แต่ “มวลชน” ในส่วนของรัฐบาลอย่างคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ “ขยับ” พรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ก็ขยับลงพื้นที่เพื่อปราศรัยให้ข้อมูลและสร้างแนวร่วมกับประชาชน ในส่วนของพรรคเพื่อไทยประเดิมเวทีที่ จ.อุดรธานี เป็นที่แรกและตามมาในอีกหลาย ๆ พื้นที่ในภาคอีสาน ภาคเหนือและภาคกลาง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงเดินหน้าจัดเวที “ผ่าความจริง” ซึ่งจากวันที่เริ่มต้นจนมาถึงวันนี้ก็ครบ 1 ปีแล้ว ใช่แต่ “มวลชน” ของพรรคการเมืองเท่านั้นที่เริ่มขยับแข้งขยับขา ขณะนี้ได้เกิดการเคลื่อนไหวในส่วนของภาคประชาชนกันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มกรีนที่นำโดย นายสุริยะใส กตะศิลา ซึ่งเป็นอดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การเกิดขึ้นของสันนิบาตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ที่นำโดย ธงชัย สุวรรณวิหค โดยมีเป้าหมายคือการต่อต้าน “ทุนนิยมสามานย์” บทบาทของ “สันนิบาตฯ” ในครั้งนี้ดูแล้วช่างละม้ายคล้ายคลึงกับการก่อเกิดของกลุ่มม็อบสนามม้า นางเลิ้งที่นำโดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ที่ประกาศชุมนุมทางการเมืองเมื่อปีที่ผ่านมา ถ้าจำกันได้การยุติการชุมนุมครั้งนั้น มีการทิ้งข้อความไว้ด้วยว่า อีกไม่นานการชุมนุมจะกลับมาใหม่ เมื่อหลาย ๆ สถานการณ์การเมือง “รุมเร้า” การเคลื่อนไหวมวลชนจึงเกิดขึ้นและเดินไปด้วยความคึกคัก ที่ต้องจับตาคือพรรคเพื่อไทย วันนี้เลือกแล้วว่า จะเดินหน้าทางการเมืองแบบ “เดินเร็วเดินแรง” เพราะในสถานการณ์ที่ตัวเองได้เปรียบทางการเมืองอย่างมหาศาลภายใต้กติกา ประชาธิปไตยที่ใช้เสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรอ เพราะการเป็นรัฐบาลให้นานที่สุดโดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แค่เป็นการ “พักรบ” เท่านั้น เพราะตราบใดที่เป้าหมายทางการเมืองยังไม่ถูกแก้ไข พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่หยุดเดิน ชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ถืออำนาจบริหาร นั้นแค่บันไดขั้นหนึ่ง ขณะที่บันไดอีกขั้นหนึ่งคือการแก้ไข “กติกา” ซึ่งพรรคเพื่อไทยปูข้อมูลไว้แล้วว่า เป็น “ผลไม้พิษ” ซึ่งเกิดจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 49 ทั้งการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท การแก้ไขรัฐธรรมนูญ “รายมาตรา” การพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองหรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล้วนเป็นความพยายามสร้าง “กติกา” ขึ้นมาใหม่ของพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่า “ด่านสำคัญ” ทางการเมืองนั้น ไม่ได้อยู่ที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีทางเป็น “ตัวเลือก” หรือ “คู่แข่ง” ทางการเมืองได้ หรือ “มวลชน” ซึ่งวันนี้ยังหา “เจ้าภาพ” ไม่ได้ แต่หากอยู่ที่องค์กรอิสระทางการเมืองที่ชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ อย่าลืมว่า กฎหมายทั้ง 3 ฉบับที่ทั้งแก้ไข ทั้งทำขึ้นมาใหม่ ล้วนต้องผ่านตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปิดฉาก “รบรอบใหม่” ทางการเมืองกับศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของพรรคเพื่อไทย ไม่เช่นนั้น “การต่อต้าน” จะออกมาตามลำดับอย่างเป็นระบบเช่นนี้หรือ ช่วงระยะเวลา 3 เดือน ของการปิดสมัยประชุมสภา จึงเป็นช่วงเวลาที่พรรคการเมืองต้องทำงานมวลชนอย่างหนัก เพราะการปะทะกันอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในการเปิดประชุมสภาที่เรียกว่า สมัยสามัญทั่วไปในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งในสมัยประชุมนี้พรรคฝ่ายค้านจะได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อซัก ฟอกการบริหารงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ อีกครั้ง เมื่อดูจากเป้าหมาย ดูจากความเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งสัญญาณที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งมาให้กับ ส.ส.ในพรรคไว้ว่าให้เดินหน้าชนเต็มที่ อย่างดีก็แค่ “ยุบสภา” ลงไปหาประชาชนเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า อย่างไรก็กลับเข้ามาเป็นรัฐบาลได้อีกครั้งซึ่งหากมาครั้งนี้ ก็จะสะดวกโยธินที่จะแก้ไขอะไรต่อมิอะไรได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ในความได้เปรียบทางการเมืองที่มีอยู่อย่างมหาศาล พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเชื่อมั่นและไม่กลัวที่จะเดินหน้าทางการเมือง “ก้าว” ที่สำคัญก้าวนี้ต่อไป เป็นการทำสงครามการเมืองครั้งใหม่ ที่ดูไปแล้วน่าจะใหญ่และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญยิ่งกว่าครั้งที่ผ่านมา เพราะนับวัน “ขั้วทางการเมือง” เริ่มเด่นชัดและไม่ยอมกันมากขึ้น ที่สำคัญนับวันสังคมไทยจะยิ่งหา “กรรมการ” ได้ยากขึ้น ต้องยอมรับว่าวันนี้ “กองทัพ” ก็ไม่อยู่ในสถานะที่เป็น “กรรมการ” ได้ ยังดูไม่ออกและบอกไม่ถูกเลยว่า ในสถานการณ์ที่พรรคเพื่อไทย “สุมไฟการเมือง” กองใหม่นี้ขึ้นมา จะหาทางลงแบบสันติวิธีได้อย่างไร เพราะต่างฝ่ายต่างใช้ “กติกา” ถืออยู่โดยเชื่อว่า ทำได้เข้าต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งกำลัง “กินรวบ” พร้อมกับรุกคืบเพื่อสถาปนาการเมืองรูปแบบใหม่ที่เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ “เนื้อใน” ไม่ต่างอะไรกับบริษัทที่แบ่งงานกันทำ สั่งซ้ายหันขวาหัน ขณะที่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับและกำลังรวบรวมกำลังสร้างเครือข่ายเพื่อ “ต่อต้าน” และพร้อมจะทำทุกทางเพื่อหยุดขบวนการกินรวบในครั้งนี้เสีย นี่จึงเป็น “เรื่องใหญ่” ที่ท้าทายสังคมไทยอย่างยิ่ง ขอบคุณ... http://www.dailynews.co.th/politics/200288
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)