เซน กับ สตีฟ จ๊อบส์
การจากไปในวัยเพียง ๕๖ ปี ของสตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบริษัทแอปเปิลเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ด้วยโรคมะเร็งตับก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกเพราะชายคนนี้ไม่ได้ เป็นแค่ นักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินมหาศาล หากแต่เขาคือ คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ซีอีโอแห่งศตวรรษ” ชื่อชั้นของเขา อยู่ในระดับเดียวกันกับสุดยอดนักประดิษฐ์ตลอดกาล อย่างโธมัส อัลวา เอดิสัน เพราะสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ฝากไว้ในโลกนั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่โลก และรูปแบบการใช้ชีวิตของเราอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์แมคอินทอ ชคอมพิวเตอร์แม็คบุ๊กแอร์ ไอพอด ไอแพต ไอโฟน ฯลฯ โลกของเราเข้าสู่ยุคไร้กระดาษ (paperless) ส่วนหนึ่งก็เพราะวงการภาพยนตร์แอนิเมชั่นมีสุดยอดภาพยนตร์แอนิเมชั่นให้ตื่น ตะลึงกันก็เพราะเขาทำธุรกิจการติดต่อ การทำงานด้วยวิธีการ “คลิก” เพียงปุ่มเดียวแล้วอะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อก็เพราะสตีฟ จ๊อบส์ คือ สุดยอดนวัตกรรมแห่งศตวรรษที่ ๒๑ อย่างไร้ข้อกังขา
ขณะที่ชีวิตของเขากำลังรุ่งโรจน์สุด ๆ แต่แล้ว พญายมก็มาพรากเขาจากพวกเราไปในวัยเพียง ๕๖ ปี ข่าวนี้ทำให้หลายคนต้องหันกลับมาคิดใหม่ว่าอะไรคือเหตุปัจจัยให้คนอย่างเขา ต้องป่วยด้วยโรคมะเร็งและจบชีวิตในวัยที่ยังเต็มไปด้วยไฟแห่งการสร้างสรรค์
ในหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่ สตีฟ จ๊อบส์ เล่าประวัติตัวเองอย่างหมดเปลือก เขาสารภาพว่าที่ตัวเองป่วยหนักสาเหตุน่าจะเริ่มมาจากการบริหารสองบริษัท พร้อมกันในเวลาดังกล่าวนั้นเขาแทบไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น เขาเล่าว่าเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะแวะเข้าห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ “นาฬิกาชีวิต” ของเขาเสียสมดุลโรคร้ายคงก่อตัวขึ้นมาในช่วงนี้- นี่คือข้อสันนิษฐานของเขาเอง
ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าทั้งความเครียดและการสูญเสียสมดุลใน ร่างกายมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้ร่างกายไม่อาจเยียวยาตัวเองและพัฒนา ไปเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกัน สตีฟ จ๊อบส์ คือ ตัวอย่างที่ว่านี้
ในปรัชญาเซนซึ่ง สตีฟ จ๊อบส์ ชื่นชอบศึกษา และนำมาใช้ในงานนวัตกรรมอาจารย์เซนท่านหนึ่งเคยสอนลูกศิษย์ว่า
“รู้ไหมสุดยอดแห่งปาฏิหาริย์คืออะไร?”
“การเดินบนน้ำการหายตัว...” ศิษย์ตอบ
“นั่นไม่ใช่ปาฏิหาริย์” อาจารย์แย้ง ลูกศิษย์จึงถามว่าถ้าเช่นนั้นปาฏิหาริย์คืออะไร อาจารย์จึงเฉลยว่า
“เมื่อหิวก็จงกิน, เมื่อง่วง ก็จงนอน, นี่แหละ คือปาฏิหาริย์”
สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ชอบศึกษาเซนคงลืมคำสอนเซนในเรื่องนี้ไปเขาจึงใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันอันเป็นเหตุให้เวลาของเขามี “จำกัด” อย่างยิ่ง
ลองจินตนาการดูว่าหากเขามีเวลามากกว่านี้โลกของเราจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไร? บิล เก็ตส์ ดูเหมือนว่าจะเกิดปีเดียวกับจ๊อบส์แต่เขาลาออกจากบริษัทในฐานะผู้บริหารล่วง หน้าก่อนจ๊อบส์ นับสิบปีเพราะเขารู้ดีว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่างานนั่นก็คือ “สุขภาพ” และ “การแบ่งปัน” ใช่หรือไม่ว่าหากเรามีทุกอย่าง ทว่าไม่มี “สุขภาพ” ทุกสิ่งที่มีจะมีความหมายอะไร
ในทางพุทธศาสนาพระพุทธองค์ตรัสว่าเวลาของเราทุกคนในยุคสมัยของพระองค์ (ซึ่งก็คือเวลาในยุคนี้) มีไม่มากนัก อายุของมนุษย์ในยุคนี้เต็มที่ก็เพียง ๑๐๐ ปีมากไปกว่านี้ก็เพียง ๑๒๐ ปี นี่คือเวลาอันจำกัดของเราทุกคนแต่บางคนกำลังทำให้วันเวลาในชีวิตสั้นลงไป กว่าเส้นแบ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำนายเอาไว้มาก
ใครบางคนทำงาน ใช้ชีวิต เหมือนเป็นศัตรูกับตัวเอง
ทำงาน ทำงาน ทำงาน จนลืมไปว่า จิตใจและร่างกาย ไม่ใช่หุ่นยนต์คนที่ “บ้างาน” จนกลายเป็น “เสพติดการทำงานหนัก” อย่างที่กล่าวมานี้เวลาในชีวิตจะยิ่งสั้นลงไปอีกหลายเท่าตัว“เรามีเวลา จำกัด” (Our time islimited)
สตีฟ จ๊อบส์ เคยพูดประโยคนี้ตอนที่กำลังป่วยและเขาพยายามยื้อเวลาเอาไว้สุดชีวิตแต่สุดท้ายเขาก็ยื้อได้เพียง ๕๖ ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป
หลายคนที่ยังคงมีสุขภาพดีสติปัญญายังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ควรนั่งลงถามตัว เองว่าเราจะเป็นสตีฟ จ๊อบส์ คนต่อไปที่กำลังจะจากไปก่อนวัยอันควรหรือว่า เราจะออกแบบชีวิตของเราใหม่ให้ “งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์” หรือ “งานก็ได้ผล คนก็เป็นสุข”
หากเราไม่อยากจากไปก่อนวัยอันควรและมีเวลาไม่จำกัดจนเกินไปนักหนทางหนึ่ง ที่จะแก้ไขได้ก็คือเราต้องหันกลับมา “ทบทวน” วิธีที่เราคิด วิธีที่เราทำงานและวิธีที่เราใช้ชีวิตกันเสียใหม่ ในพุทธศาสนาเรามีคำที่สำคัญมากอยู่คำหนึ่งซึ่งเป็นคำที่สตีฟ จ๊อบส์ (ในความหมายแฝงก็คือ “มนุษย์บ้างานทั้งหลาย”) อาจจะยังไม่คุ้นชินนั่นก็คือ คำว่า“ทางสายกลาง” หรือคำว่า “ดุลยภาพ” คำ ๆ นี้เป็นหัวใจประการหนึ่งแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ใครก็ตามเข้าใจคำ ๆ นี้เขาจะมีเวลาเหลือมากมายสำหรับอยู่ในโลกนี้ต่อไปอย่างรื่นรมย์ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจและไม่สนใจ ก็อาจมีเวลาแสนจำกัดและอีกไม่นาน เวลานั้นก็คงหมดลงอย่างรวดเร็ว!.
ว.วชิรเมธี
คัดจากงานบรรยายธรรม
ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร
พุทธศักราช ๒๕๕๔
ขอบคุณ... http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=206989
เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57
ที่มา: http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=206989
วันที่โพสต์: 17/01/2557 เวลา 04:53:15
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบริษัทแอปเปิลการจากไปในวัยเพียง ๕๖ ปี ของสตีฟ จ๊อบส์ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของบริษัทแอปเปิลเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ด้วยโรคมะเร็งตับก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกเพราะชายคนนี้ไม่ได้ เป็นแค่ นักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินมหาศาล หากแต่เขาคือ คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ซีอีโอแห่งศตวรรษ” ชื่อชั้นของเขา อยู่ในระดับเดียวกันกับสุดยอดนักประดิษฐ์ตลอดกาล อย่างโธมัส อัลวา เอดิสัน เพราะสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ฝากไว้ในโลกนั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่โลก และรูปแบบการใช้ชีวิตของเราอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์แมคอินทอ ชคอมพิวเตอร์แม็คบุ๊กแอร์ ไอพอด ไอแพต ไอโฟน ฯลฯ โลกของเราเข้าสู่ยุคไร้กระดาษ (paperless) ส่วนหนึ่งก็เพราะวงการภาพยนตร์แอนิเมชั่นมีสุดยอดภาพยนตร์แอนิเมชั่นให้ตื่น ตะลึงกันก็เพราะเขาทำธุรกิจการติดต่อ การทำงานด้วยวิธีการ “คลิก” เพียงปุ่มเดียวแล้วอะไรต่อมิอะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อก็เพราะสตีฟ จ๊อบส์ คือ สุดยอดนวัตกรรมแห่งศตวรรษที่ ๒๑ อย่างไร้ข้อกังขา ขณะที่ชีวิตของเขากำลังรุ่งโรจน์สุด ๆ แต่แล้ว พญายมก็มาพรากเขาจากพวกเราไปในวัยเพียง ๕๖ ปี ข่าวนี้ทำให้หลายคนต้องหันกลับมาคิดใหม่ว่าอะไรคือเหตุปัจจัยให้คนอย่างเขา ต้องป่วยด้วยโรคมะเร็งและจบชีวิตในวัยที่ยังเต็มไปด้วยไฟแห่งการสร้างสรรค์ ในหนังสือเล่มแรกและเล่มเดียวที่ สตีฟ จ๊อบส์ เล่าประวัติตัวเองอย่างหมดเปลือก เขาสารภาพว่าที่ตัวเองป่วยหนักสาเหตุน่าจะเริ่มมาจากการบริหารสองบริษัท พร้อมกันในเวลาดังกล่าวนั้นเขาแทบไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น เขาเล่าว่าเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะแวะเข้าห้องน้ำเสียด้วยซ้ำ และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ “นาฬิกาชีวิต” ของเขาเสียสมดุลโรคร้ายคงก่อตัวขึ้นมาในช่วงนี้- นี่คือข้อสันนิษฐานของเขาเอง ทุกวันนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าทั้งความเครียดและการสูญเสียสมดุลใน ร่างกายมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้ร่างกายไม่อาจเยียวยาตัวเองและพัฒนา ไปเป็นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ในตระกูลเดียวกัน สตีฟ จ๊อบส์ คือ ตัวอย่างที่ว่านี้ ในปรัชญาเซนซึ่ง สตีฟ จ๊อบส์ ชื่นชอบศึกษา และนำมาใช้ในงานนวัตกรรมอาจารย์เซนท่านหนึ่งเคยสอนลูกศิษย์ว่า “รู้ไหมสุดยอดแห่งปาฏิหาริย์คืออะไร?” “การเดินบนน้ำการหายตัว...” ศิษย์ตอบ “นั่นไม่ใช่ปาฏิหาริย์” อาจารย์แย้ง ลูกศิษย์จึงถามว่าถ้าเช่นนั้นปาฏิหาริย์คืออะไร อาจารย์จึงเฉลยว่า “เมื่อหิวก็จงกิน, เมื่อง่วง ก็จงนอน, นี่แหละ คือปาฏิหาริย์” สตีฟ จ๊อบส์ ผู้ชอบศึกษาเซนคงลืมคำสอนเซนในเรื่องนี้ไปเขาจึงใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันอันเป็นเหตุให้เวลาของเขามี “จำกัด” อย่างยิ่ง ลองจินตนาการดูว่าหากเขามีเวลามากกว่านี้โลกของเราจะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไร? บิล เก็ตส์ ดูเหมือนว่าจะเกิดปีเดียวกับจ๊อบส์แต่เขาลาออกจากบริษัทในฐานะผู้บริหารล่วง หน้าก่อนจ๊อบส์ นับสิบปีเพราะเขารู้ดีว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่างานนั่นก็คือ “สุขภาพ” และ “การแบ่งปัน” ใช่หรือไม่ว่าหากเรามีทุกอย่าง ทว่าไม่มี “สุขภาพ” ทุกสิ่งที่มีจะมีความหมายอะไร ในทางพุทธศาสนาพระพุทธองค์ตรัสว่าเวลาของเราทุกคนในยุคสมัยของพระองค์ (ซึ่งก็คือเวลาในยุคนี้) มีไม่มากนัก อายุของมนุษย์ในยุคนี้เต็มที่ก็เพียง ๑๐๐ ปีมากไปกว่านี้ก็เพียง ๑๒๐ ปี นี่คือเวลาอันจำกัดของเราทุกคนแต่บางคนกำลังทำให้วันเวลาในชีวิตสั้นลงไป กว่าเส้นแบ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำนายเอาไว้มาก ใครบางคนทำงาน ใช้ชีวิต เหมือนเป็นศัตรูกับตัวเอง ทำงาน ทำงาน ทำงาน จนลืมไปว่า จิตใจและร่างกาย ไม่ใช่หุ่นยนต์คนที่ “บ้างาน” จนกลายเป็น “เสพติดการทำงานหนัก” อย่างที่กล่าวมานี้เวลาในชีวิตจะยิ่งสั้นลงไปอีกหลายเท่าตัว“เรามีเวลา จำกัด” (Our time islimited) สตีฟ จ๊อบส์ เคยพูดประโยคนี้ตอนที่กำลังป่วยและเขาพยายามยื้อเวลาเอาไว้สุดชีวิตแต่สุดท้ายเขาก็ยื้อได้เพียง ๕๖ ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไป หลายคนที่ยังคงมีสุขภาพดีสติปัญญายังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ควรนั่งลงถามตัว เองว่าเราจะเป็นสตีฟ จ๊อบส์ คนต่อไปที่กำลังจะจากไปก่อนวัยอันควรหรือว่า เราจะออกแบบชีวิตของเราใหม่ให้ “งานก็สัมฤทธิ์ ชีวิตก็รื่นรมย์” หรือ “งานก็ได้ผล คนก็เป็นสุข” หากเราไม่อยากจากไปก่อนวัยอันควรและมีเวลาไม่จำกัดจนเกินไปนักหนทางหนึ่ง ที่จะแก้ไขได้ก็คือเราต้องหันกลับมา “ทบทวน” วิธีที่เราคิด วิธีที่เราทำงานและวิธีที่เราใช้ชีวิตกันเสียใหม่ ในพุทธศาสนาเรามีคำที่สำคัญมากอยู่คำหนึ่งซึ่งเป็นคำที่สตีฟ จ๊อบส์ (ในความหมายแฝงก็คือ “มนุษย์บ้างานทั้งหลาย”) อาจจะยังไม่คุ้นชินนั่นก็คือ คำว่า“ทางสายกลาง” หรือคำว่า “ดุลยภาพ” คำ ๆ นี้เป็นหัวใจประการหนึ่งแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ใครก็ตามเข้าใจคำ ๆ นี้เขาจะมีเวลาเหลือมากมายสำหรับอยู่ในโลกนี้ต่อไปอย่างรื่นรมย์ ส่วนคนที่ไม่เข้าใจและไม่สนใจ ก็อาจมีเวลาแสนจำกัดและอีกไม่นาน เวลานั้นก็คงหมดลงอย่างรวดเร็ว!. ว.วชิรเมธี คัดจากงานบรรยายธรรม ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด สหราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๕๕๔ ขอบคุณ... http://m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=206989 เดลินิวส์ออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)