"ข้อคิด"...2557จาก..."หลวงพ่อจรัญ"

แสดงความคิดเห็น

"ข้อคิด"...2557จาก..."หลวงพ่อจรัญ"

คอลัมน์นพ.วิชัยเทียนถาวร อดีตสาธารณสุข: เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2557 ผู้เขียนตั้งใจไปกราบนมัสการขอพรจาก "หลวงพ่อจรัญ" หรือพระธรรมสิงหบุราจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี ซึ่งทุกปี จะมีญาติโยมทั่วสารทิศ มากราบหลวงพ่อ เนืองแน่นตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่าจนกระทั่งก้าวเข้าสู่ปีใหม่ และที่สำคัญ ทุกท่านที่มาต่างมุ่ง "ปฏิบัติธรรม" วิปัสสนากรรมฐาน 7 วัน โดยเฉพาะการสวดมนต์ข้ามปี จากวันที่ 31 ธ.ค.2556 ถึงวันที่ 1 ม.ค.2557 ผู้คนเรือนหมื่นต่างมุ่งมั่นตั้งใจส่งผลให้รถติดจากในวัดยาวถึงถนนสายเอเชียมีการจองที่นั่งปฏิบัติสวดมนต์กันล่วงหน้าแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย

หลังกราบหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่หลวงพ่อเอ่ยคือ เหตุการณ์กรุงเทพฯเป็นอย่างไรบ้าง สงบดีแล้วหรือยัง ผู้เขียนได้เรียนหลวงพ่อว่า เหตุการณ์ต่างๆ น่าจะค่อยๆ คลี่คลายดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งคำถามของหลวงพ่อ แสดงให้เห็นว่าพระอริยสงฆ์ พระผู้ใหญ่ของบ้านเมืองก็ห่วงใยทุกข์ สุข ของบ้านเมืองและประชาชน ดังนั้น จึงเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบว่าเหตุการณ์บ้านเมืองประเทศต่างๆ ในโลกก็มีปัญหาคล้ายๆ กัน (อาการเจ็บป่วยของบ้านเมือง) เช่น ที่ประเทศกัมพูชา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องจากรัฐบาล รวมถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ก็ยังมีปัญหาเช่นกัน

พอท่านทราบก็สบายใจว่านั่นเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองของกระแสโลกา ภิวัตน์และการพัฒนาประชาธิปไตยของ "โลก" ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา "เราก็เหมือนเขา" "เขาก็เหมือนเรา" จากนั้นได้เรียนถามถึงเรื่องสุขภาพอนามัยของหลวงพ่อ ท่านแข็งแรงดี เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยานที่กุฏิ วันละ 20-30 นาที ทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นประเภทที่ย่อยง่าย กินน้อย นอนน้อย ทำงานมาก ท่านชอบทานกล้วยน้ำว้า หลวงพ่อจำวัด 3-4 ทุ่ม ตื่นตี 4 ทำวัตรเช้าทุกวันเป็นประจำ ขณะนี้หลวงพ่ออายุ 85 ย่าง 86 ปีแล้ว แข็งแรง สมบูรณ์ดีมาก หลวงพ่อปรารภว่า คนเราทุกคนหนีไม่พ้นคือ การเจ็บป่วย ซึ่งท่านได้ผ่านวิกฤตชีวิตที่รุนแรงมาหลายครั้ง เช่น คอหัก โรคภูมิแพ้ผื่นขึ้นทั้งตัว แน่นหน้าอก แต่ด้วยการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการสร้างสุขภาพ "3อ": อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ และอนามัยส่วนบุคคลของหลวงพ่อไม่ขาดตกบกพร่องจึงทำให้แข็งแรงมาถึงปัจจุบัน

พูดถึงเรื่อง "เจ็บป่วย" แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนไม่อยากเป็น "คนป่วย" แต่จากอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ผู้เขียนตรวจคนไข้ที่ตึกผู้ป่วยนอก (OPD) หรือหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จะพบว่าผู้ป่วย ป่วยจริงๆ และจำเป็นต้องได้รับการรักษา เช่น การให้ยา ฉีดยารักษา หรือบางรายต้องได้รับการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ตรวจคลื่นหัวใจหรือต้องรับเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลมีประมาณ10-20%เท่านั้น

ที่เหลือ 80-90% ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพด้วยการสร้างสุขภาพ "3อ และ 2ส" ก็จะหายและดีขึ้นได้เอง การดูแลสุขภาพ รักษาโรคแก่ผู้ป่วยในเวชปฏิบัติ ปัจจุบันต้องอาศัยการทำงานของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานในระดับชาติ ระดับสากล เพราะในยุคนี้และต่อๆ ไปประเทศไทยต้องเข้าสู่ AEC การเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์สาธารณสุข "หมออนามัย" ต้องเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติงานในเวชปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ที่สำคัญที่สุดคือ ผลการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ ลดภาวการณ์แทรกซ้อน ลดอัตราตายและอัตราพิการของผู้ป่วย

โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งไม่ว่า กระทรวง กลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร หรือแม้โรงพยาบาลเอกชน รวมถึงหน่วยบริการเล็กที่สุดคือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกแห่งก็มีการให้บริการ "ผู้ป่วยนอก" ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างถ้วนทั่ว ครอบคลุม เสมอภาคเท่าเทียมกัน และให้การดูแลอย่างต่อเนื่องวางแผนการดูแลติดตามส่งผลให้ผลลัพธ์การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนนี้ ผู้เขียนเน้นในเรื่องของ "คนดี" คือคน "คนสุขภาพแข็งแรง" ต้องดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์และแข็งแรง "ไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ตาย" ครั้งนี้จะพูดถึงเหตุสุดวิสัย หากสร้างสุขภาพ 3อ 2ส ด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สี แล้วยังเกิดการเจ็บ"ป่วย"ว่าด้วยเรื่อง"ผู้ป่วยนอก"

เวลาที่เรามาตึกผู้ป่วยนอก (OPD: Out Patient Department) หรือห้องฉุกเฉิน (ER: Emergency Room) หมออนามัย หรือพยาบาล ที่ OPD หรือ ER จะซักประวัติทั่วๆ ไปลงใน OPD Card (บัตร ผู้ป่วยนอก) ตลอดจนประวัติการเจ็บป่วย ผ่าตัดที่ผ่านมาในอดีต เคยแพ้ยากิน ยาฉีดอะไรบ้าง เผื่อว่าจะได้ระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้ยาตัวเดิมที่แพ้เพราะถ้าเกิดให้ไปอาจแพ้ซ้ำถึงตายได้

จากนั้นจะเข้าสู่ระบบคัดกรองผู้ป่วย โดยการสังเกตลักษณะอาการแสดงที่ "ต้อง" การดูแล "เร่งด่วน" นอกจากวัดความดันโลหิตชีพจรวัดปรอทแล้วคือสูตรABCD

A: Air way ทางเดินหายใจมีการอุดตันหรือไม่ ทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ขาดออกซิเจน อาจทำให้ตายได้

B: Breathing มีภาวะการหยุดหายใจ ดูจากหายใจหอบจมูกบาน ซี่โครงบานออก หน้าอกบุ๋ม ซึ่งแสดงถึงอันตรายมาถึงแล้ว

C: Circulation ดูสีผิว สีหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม แสดงภาวะระบบการไหลเวียนโลหิตบกพร่อง เกิดภาวะช็อกต้องรีบแก้โดยหาสาเหตุแล้วรีบแก้ไข

D: Disability ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้แค่ไหน เดินได้? ขยับแขน ขาได้หรือไม่?

ทั้งหมดนี้ "สูตร ABCD" ทราบได้จากการซักประวัติ อาการ อาการแสดงของผู้ป่วย ตรวจ วัดความดัน ชีพจร วัดปรอท ซักถามอาการ สังเกตอย่างละเอียดเบื้องต้น นำไปสู่การตัดสินใจของแพทย์ว่า "ผู้ป่วยนอก" ที่มามี 4 จำพวกหรือ4ระดับ

ระดับ แรก "ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ และพยาบาลทันที" ล่าช้าตายได้ เช่น ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจเสียเลือดมากเป็นต้น

ระดับที่ 2 ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 5-10 นาที และพยาบาลต้องดูแลเร่งด่วน ผู้ป่วยประเภทผู้ป่วยภาวะ"ช็อก"วัดความดันโลหิตต่ำลงชีพจรเบาเต้นเร็ว

ระดับที่ 3 ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 10-15 นาที และพยาบาลต้องดูแลโดยเร็ว เช่น ผู้ป่วยหอบหืดผู้ป่วยที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าปาก จมูก ตา หรือแพ้ยามาก ผู้ป่วยพวกนี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ไม่กี่ชั่วโมง

ระดับที่ 4 ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 20-30 นาที ส่วนพยาบาล ควรมีการดูแลตามปกติ 5-10 นาที เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงเหมือนกลุ่ม 1-3 โดยเฉพาะรู้ตัวดี พูดคุยได้ เดินได้ ช่วยตัวเองได้ ดูไม่ซีด ไม่หอบ ไม่เหนื่อย หายใจไม่ติดขัด วัดความดันปกติ หายใจและชีพจรปกติ หรือผู้ป่วยมาตามนัด (Follow up) หรือผู้ป่วยรอการรักษาได้แต่ก็ควรได้รับการดูแลรักษาภายใน 15-30 นาที เช่น ผู้ป่วยปวดหัว ไข้สูง ตัวร้อน มีบาดแผลที่ไม่รุนแรงไม่มีเลือดออกเป็นต้น

ทั้งหมดนี้คือ สภาพคนไข้ระดับต่างๆ ที่ "ป่วย" มาโรงพยาบาลว่าด้วย "ผู้ป่วยนอก" ส่วนจะเป็น "ผู้ป่วยใน"หรือไม่อย่างไรต้องติดตามในฉบับถัดไป

จากความเจ็บป่วยของบ้านเมือง ความเจ็บป่วยของร่างกาย มาถึง พรของ "หลวงพ่อจรัญ" อย่างไรเสียผู้เขียนก็ยังปรารถนาดีต่อท่านผู้อ่านไม่อยากให้เจ็บป่วยทั้งกาย และใจ จึงอยากจะฝากข้อคิดให้สำหรับปรับการใช้ชีวิตในปีใหม่ด้วย"ข้อคิดพรปีใหม่"ของ"หลวงพ่อจรัญ"ท่านบอกว่า

"คนเราที่จะอยู่อย่างดีนั้นจะต้องดำเนินชีวิตเป็น คือ รู้จักดำเนินชีวิตนั่นเอง ชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่ดีงาม เป็นชีวิตที่พัฒนาเจริญก้าวหน้าประสบประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าดำเนินชีวิตไม่เป็นก็มีแต่ขาดทุนและประสบแต่ความทุกข์และความเสื่อม ฉะนั้น ต้องรู้จักดำเนินชีวิต หรือดำเนินชีวิตเป็น พร 4 ประการ เราก็ได้ยินบ่อยคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เรียกว่า จตุรพิธพร ถ้าท่านต้องการได้พรเหล่านี้ก็ต้องทำจิตใจให้ถูกต้อง โดยเฉพาะมีความเชื่อมั่น ทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส พร้อมทั้งมีความมั่นใจ มีกำลังใจ เข้มแข็งที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น"

ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ทราบ และนำไปปฏิบัติ เพื่อเป็นมงคลชีวิต เป็นเสมือนยาอายุวัฒนะที่รักษาได้ทั้งสุขภาพบ้านเมืองและสุขภาพร่างกายทุกอย่างจะได้สงบสุขสันติ...นะครับ : มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2557

ขอบคุณ... http://www.hed.go.th/frontend/theme/content.php?Submit=Clear&ID_Info=00026586&Type=3

www.hed.go.thออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57

ที่มา: www.hed.go.thออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57
วันที่โพสต์: 10/01/2557 เวลา 07:08:32 ดูภาพสไลด์โชว์ "ข้อคิด"...2557จาก..."หลวงพ่อจรัญ"

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

\"ข้อคิด\"...2557จาก...\"หลวงพ่อจรัญ\" คอลัมน์นพ.วิชัยเทียนถาวร อดีตสาธารณสุข: เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2557 ผู้เขียนตั้งใจไปกราบนมัสการขอพรจาก "หลวงพ่อจรัญ" หรือพระธรรมสิงหบุราจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี ซึ่งทุกปี จะมีญาติโยมทั่วสารทิศ มากราบหลวงพ่อ เนืองแน่นตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่าจนกระทั่งก้าวเข้าสู่ปีใหม่ และที่สำคัญ ทุกท่านที่มาต่างมุ่ง "ปฏิบัติธรรม" วิปัสสนากรรมฐาน 7 วัน โดยเฉพาะการสวดมนต์ข้ามปี จากวันที่ 31 ธ.ค.2556 ถึงวันที่ 1 ม.ค.2557 ผู้คนเรือนหมื่นต่างมุ่งมั่นตั้งใจส่งผลให้รถติดจากในวัดยาวถึงถนนสายเอเชียมีการจองที่นั่งปฏิบัติสวดมนต์กันล่วงหน้าแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย หลังกราบหลวงพ่อเรียบร้อยแล้ว คำแรกที่หลวงพ่อเอ่ยคือ เหตุการณ์กรุงเทพฯเป็นอย่างไรบ้าง สงบดีแล้วหรือยัง ผู้เขียนได้เรียนหลวงพ่อว่า เหตุการณ์ต่างๆ น่าจะค่อยๆ คลี่คลายดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งคำถามของหลวงพ่อ แสดงให้เห็นว่าพระอริยสงฆ์ พระผู้ใหญ่ของบ้านเมืองก็ห่วงใยทุกข์ สุข ของบ้านเมืองและประชาชน ดังนั้น จึงเรียนให้หลวงพ่อท่านทราบว่าเหตุการณ์บ้านเมืองประเทศต่างๆ ในโลกก็มีปัญหาคล้ายๆ กัน (อาการเจ็บป่วยของบ้านเมือง) เช่น ที่ประเทศกัมพูชา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องจากรัฐบาล รวมถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ก็ยังมีปัญหาเช่นกัน พอท่านทราบก็สบายใจว่านั่นเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองของกระแสโลกา ภิวัตน์และการพัฒนาประชาธิปไตยของ "โลก" ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา "เราก็เหมือนเขา" "เขาก็เหมือนเรา" จากนั้นได้เรียนถามถึงเรื่องสุขภาพอนามัยของหลวงพ่อ ท่านแข็งแรงดี เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปั่นจักรยานที่กุฏิ วันละ 20-30 นาที ทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นประเภทที่ย่อยง่าย กินน้อย นอนน้อย ทำงานมาก ท่านชอบทานกล้วยน้ำว้า หลวงพ่อจำวัด 3-4 ทุ่ม ตื่นตี 4 ทำวัตรเช้าทุกวันเป็นประจำ ขณะนี้หลวงพ่ออายุ 85 ย่าง 86 ปีแล้ว แข็งแรง สมบูรณ์ดีมาก หลวงพ่อปรารภว่า คนเราทุกคนหนีไม่พ้นคือ การเจ็บป่วย ซึ่งท่านได้ผ่านวิกฤตชีวิตที่รุนแรงมาหลายครั้ง เช่น คอหัก โรคภูมิแพ้ผื่นขึ้นทั้งตัว แน่นหน้าอก แต่ด้วยการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะการสร้างสุขภาพ "3อ": อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ และอนามัยส่วนบุคคลของหลวงพ่อไม่ขาดตกบกพร่องจึงทำให้แข็งแรงมาถึงปัจจุบัน พูดถึงเรื่อง "เจ็บป่วย" แล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนไม่อยากเป็น "คนป่วย" แต่จากอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ผู้เขียนตรวจคนไข้ที่ตึกผู้ป่วยนอก (OPD) หรือหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ จะพบว่าผู้ป่วย ป่วยจริงๆ และจำเป็นต้องได้รับการรักษา เช่น การให้ยา ฉีดยารักษา หรือบางรายต้องได้รับการเจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ตรวจคลื่นหัวใจหรือต้องรับเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลมีประมาณ10-20%เท่านั้น ที่เหลือ 80-90% ให้คำแนะนำการดูแลสุขภาพด้วยการสร้างสุขภาพ "3อ และ 2ส" ก็จะหายและดีขึ้นได้เอง การดูแลสุขภาพ รักษาโรคแก่ผู้ป่วยในเวชปฏิบัติ ปัจจุบันต้องอาศัยการทำงานของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีมาตรฐานในระดับชาติ ระดับสากล เพราะในยุคนี้และต่อๆ ไปประเทศไทยต้องเข้าสู่ AEC การเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์ นักศึกษาพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์สาธารณสุข "หมออนามัย" ต้องเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติงานในเวชปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ผู้ป่วยและครอบครัว ที่สำคัญที่สุดคือ ผลการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ ลดภาวการณ์แทรกซ้อน ลดอัตราตายและอัตราพิการของผู้ป่วย โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งไม่ว่า กระทรวง กลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร หรือแม้โรงพยาบาลเอกชน รวมถึงหน่วยบริการเล็กที่สุดคือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทุกแห่งก็มีการให้บริการ "ผู้ป่วยนอก" ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างถ้วนทั่ว ครอบคลุม เสมอภาคเท่าเทียมกัน และให้การดูแลอย่างต่อเนื่องวางแผนการดูแลติดตามส่งผลให้ผลลัพธ์การดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนนี้ ผู้เขียนเน้นในเรื่องของ "คนดี" คือคน "คนสุขภาพแข็งแรง" ต้องดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์และแข็งแรง "ไม่ป่วย ไม่เจ็บ ไม่ตาย" ครั้งนี้จะพูดถึงเหตุสุดวิสัย หากสร้างสุขภาพ 3อ 2ส ด้วยปิงปองจราจรชีวิต 7 สี แล้วยังเกิดการเจ็บ"ป่วย"ว่าด้วยเรื่อง"ผู้ป่วยนอก" เวลาที่เรามาตึกผู้ป่วยนอก (OPD: Out Patient Department) หรือห้องฉุกเฉิน (ER: Emergency Room) หมออนามัย หรือพยาบาล ที่ OPD หรือ ER จะซักประวัติทั่วๆ ไปลงใน OPD Card (บัตร ผู้ป่วยนอก) ตลอดจนประวัติการเจ็บป่วย ผ่าตัดที่ผ่านมาในอดีต เคยแพ้ยากิน ยาฉีดอะไรบ้าง เผื่อว่าจะได้ระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้ยาตัวเดิมที่แพ้เพราะถ้าเกิดให้ไปอาจแพ้ซ้ำถึงตายได้ จากนั้นจะเข้าสู่ระบบคัดกรองผู้ป่วย โดยการสังเกตลักษณะอาการแสดงที่ "ต้อง" การดูแล "เร่งด่วน" นอกจากวัดความดันโลหิตชีพจรวัดปรอทแล้วคือสูตรABCD A: Air way ทางเดินหายใจมีการอุดตันหรือไม่ ทำให้หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ขาดออกซิเจน อาจทำให้ตายได้ B: Breathing มีภาวะการหยุดหายใจ ดูจากหายใจหอบจมูกบาน ซี่โครงบานออก หน้าอกบุ๋ม ซึ่งแสดงถึงอันตรายมาถึงแล้ว C: Circulation ดูสีผิว สีหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม แสดงภาวะระบบการไหลเวียนโลหิตบกพร่อง เกิดภาวะช็อกต้องรีบแก้โดยหาสาเหตุแล้วรีบแก้ไข D: Disability ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้แค่ไหน เดินได้? ขยับแขน ขาได้หรือไม่? ทั้งหมดนี้ "สูตร ABCD" ทราบได้จากการซักประวัติ อาการ อาการแสดงของผู้ป่วย ตรวจ วัดความดัน ชีพจร วัดปรอท ซักถามอาการ สังเกตอย่างละเอียดเบื้องต้น นำไปสู่การตัดสินใจของแพทย์ว่า "ผู้ป่วยนอก" ที่มามี 4 จำพวกหรือ4ระดับ ระดับ แรก "ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ และพยาบาลทันที" ล่าช้าตายได้ เช่น ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจเสียเลือดมากเป็นต้น ระดับที่ 2 ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 5-10 นาที และพยาบาลต้องดูแลเร่งด่วน ผู้ป่วยประเภทผู้ป่วยภาวะ"ช็อก"วัดความดันโลหิตต่ำลงชีพจรเบาเต้นเร็ว ระดับที่ 3 ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 10-15 นาที และพยาบาลต้องดูแลโดยเร็ว เช่น ผู้ป่วยหอบหืดผู้ป่วยที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าปาก จมูก ตา หรือแพ้ยามาก ผู้ป่วยพวกนี้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจะทำให้เสียชีวิตหรือพิการได้ไม่กี่ชั่วโมง ระดับที่ 4 ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ภายใน 20-30 นาที ส่วนพยาบาล ควรมีการดูแลตามปกติ 5-10 นาที เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงเหมือนกลุ่ม 1-3 โดยเฉพาะรู้ตัวดี พูดคุยได้ เดินได้ ช่วยตัวเองได้ ดูไม่ซีด ไม่หอบ ไม่เหนื่อย หายใจไม่ติดขัด วัดความดันปกติ หายใจและชีพจรปกติ หรือผู้ป่วยมาตามนัด (Follow up) หรือผู้ป่วยรอการรักษาได้แต่ก็ควรได้รับการดูแลรักษาภายใน 15-30 นาที เช่น ผู้ป่วยปวดหัว ไข้สูง ตัวร้อน มีบาดแผลที่ไม่รุนแรงไม่มีเลือดออกเป็นต้น ทั้งหมดนี้คือ สภาพคนไข้ระดับต่างๆ ที่ "ป่วย" มาโรงพยาบาลว่าด้วย "ผู้ป่วยนอก" ส่วนจะเป็น "ผู้ป่วยใน"หรือไม่อย่างไรต้องติดตามในฉบับถัดไป จากความเจ็บป่วยของบ้านเมือง ความเจ็บป่วยของร่างกาย มาถึง พรของ "หลวงพ่อจรัญ" อย่างไรเสียผู้เขียนก็ยังปรารถนาดีต่อท่านผู้อ่านไม่อยากให้เจ็บป่วยทั้งกาย และใจ จึงอยากจะฝากข้อคิดให้สำหรับปรับการใช้ชีวิตในปีใหม่ด้วย"ข้อคิดพรปีใหม่"ของ"หลวงพ่อจรัญ"ท่านบอกว่า "คนเราที่จะอยู่อย่างดีนั้นจะต้องดำเนินชีวิตเป็น คือ รู้จักดำเนินชีวิตนั่นเอง ชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่ดีงาม เป็นชีวิตที่พัฒนาเจริญก้าวหน้าประสบประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าดำเนินชีวิตไม่เป็นก็มีแต่ขาดทุนและประสบแต่ความทุกข์และความเสื่อม ฉะนั้น ต้องรู้จักดำเนินชีวิต หรือดำเนินชีวิตเป็น พร 4 ประการ เราก็ได้ยินบ่อยคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ เรียกว่า จตุรพิธพร ถ้าท่านต้องการได้พรเหล่านี้ก็ต้องทำจิตใจให้ถูกต้อง โดยเฉพาะมีความเชื่อมั่น ทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส พร้อมทั้งมีความมั่นใจ มีกำลังใจ เข้มแข็งที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น" ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเผยแพร่ให้ทุกท่านได้ทราบ และนำไปปฏิบัติ เพื่อเป็นมงคลชีวิต เป็นเสมือนยาอายุวัฒนะที่รักษาได้ทั้งสุขภาพบ้านเมืองและสุขภาพร่างกายทุกอย่างจะได้สงบสุขสันติ...นะครับ : มติชน (กรอบบ่าย) ฉบับวันที่ 08 มกราคม พ.ศ. 2557 ขอบคุณ... http://www.hed.go.th/frontend/theme/content.php?Submit=Clear&ID_Info=00026586&Type=3 www.hed.go.thออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 8 ม.ค.57

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...