วิปัสสนา แปลว่า เห็นแจ้ง

แสดงความคิดเห็น

พระพม่านั้น ปฏิเสธการเห็นในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะ “เห็น” ท่านก็ว่าเป็น “นิมิตลวง” ทั้งหมด

การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง “ต้องไม่เห็นอะไร” นี่คือ ความเชื่อของพระพม่า พระพม่ารวมถึงสาวกของพระพม่าคิดว่า ความเชื่อของท่านนั้น ตรงกับความเป็นจริง (reality)

สำหรับผม ผมเห็นว่า พระพม่ามีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ศาสนาพุทธต้อง “เห็น” ต้อง “รู้” ถ้าปราศจาก “การรู้” และ “การเห็น” แล้ว การปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะถูกร่องรอยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

ผลที่ได้ก็จะได้เพียง “ความสงบของใจ” ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น

ขอยกหลักฐานชัดๆ แบบไม่มีใครกล้าเถียงก็คือ “วิปัสสนา”

วิปัสสนาแปลว่า "เห็นแจ้ง" “วิ” แปลว่า “แจ้ง” “ปัสสนา” แปลว่า “เห็น”

แสดงว่า “วิปัสสนา” ไม่ใช่การเห็นแบบธรรมดาทั่วไป แต่เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ในเมื่อการเห็นธรรมดาๆ สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปยังปฏิเสธ แล้วจะมีโอกาส วิปัสสนา/เห็นแจ้ง ได้อย่างไร

ที่ น่าช้ำใจสุดๆ ก็คือ แม้กระทั่งสติปัฏฐาน 4 สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปก็ไม่มีทางทำได้ เพราะ สติปัฏฐาน 4 นั้น เกิดจากหัวข้อธรรมะ 4 หัวข้อนี้

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน = กาย + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = เวทนา + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน = จิต + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน

ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน = ธรรม + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน

คำว่า "อนุปัสสนา" นั้นแปลว่า ตามเห็น

ในเมื่อการเห็นธรรมดาๆ สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปยังปฏิเสธ แล้วจะมีโอกาส "อนุปัสสนา/ตามเห็น" กาย-เวทนา-จิต-ธรรมได้อย่างไร

การเห็นของคนธรรมดาในโลก

อายตนะ ภายในของคนเรามี 6 อย่าง คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และ ใจ

ขอ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า อายตนะภายใน5 อย่างแรกชิ้นไหนสำคัญที่สุด ที่ไม่เลือกเอา "ใจ" เข้ามาพิจารณาด้วยในกรณีนี้ ก็เพราะมีพุทธพจน์ยืนยันอยู่แล้วว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"

ดังนั้น อายตนะภายใน 6 อย่าง จิต/ใจ/วิญญาณสำคัญที่สุดแน่ๆ

เมื่อ พิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้ว โดยใช้วิธีการตัดสิ่งที่ไม่สำคัญในการเรียนรู้ออกไปก่อนโดยลำดับ จะเห็นว่าสิ่งที่ไม่สำคัญในการเรียนรู้อันดับแรกและอันดับสองก็น่าจะเป็น

"จมูกกับลิ้น"

อวัยวะภายใน 2 อย่างนั้น เอาไว้ใช้ดมกลิ่นกับลิ้มรส ก็จะหาความรู้ได้เพียงแคบๆ คือ รู้ว่า "สิ่ง" ใดมีรสหรือกลิ่นเป็นเช่นใดเท่านั้น

เหลืออวัยวะภายในให้เลือกอีก 3 อย่าง คือ หู ตา และ กาย

ทั้ง 3 อวัยวะภายในดังกล่าวนั้น การสัมผัสโดยกายน่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าอวัยวะภายในที่เหลือ คือ หูกับตา

เมื่อพิจารณาถึงหูกับตา ในประเด็นการหาความรู้เพิ่มเติม ผมสามารถลงความเห็นได้เลยว่า ตาสำคัญที่สุด

เรา อาจจะทดลองง่ายๆ ก็ได้ คือ หากลุ่มตัวอย่างมาจำนวนหนึ่ง กลุ่มหนึ่งให้ “ปิดหู” เสีย ใช้แต่ตา แล้วก็สอน “อะไรบางอย่าง” ให้กับกลุ่มนี้

อีกกลุ่มหนึ่งก็ “ปิดตา” ให้ใช้แต่หูอย่างเดียว แล้วเราก็สอน “อะไรบางอย่าง” ซึ่งต้องเป็นอย่างเดียวกับกลุ่มแรก

แล้วก็ดูว่า กลุ่มไหนสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่ากัน

ท่าน ก็จะรู้ว่า คนที่ตาดีๆ แต่แกล้งเป็นคนตาบอดนั้น เรียนลำบากลำบนมาก แล้วผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป มีตาดีๆ อยู่แล้ว กลับไม่ใช้ กลับแกล้งตาบอดซะ แล้วจะรู้หัวข้อธรรมะต่างๆ ได้อย่างไร

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...

ขอบคุณ... http://blindburmamonk.blogspot.com/2011/11/blog-post_25.html

ที่มา: http://blindburmamonk.blogspot.com/2011/11/blog-post_25.html
วันที่โพสต์: 19/06/2556 เวลา 04:12:42

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

พระพม่านั้น ปฏิเสธการเห็นในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะ “เห็น” ท่านก็ว่าเป็น “นิมิตลวง” ทั้งหมด การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง “ต้องไม่เห็นอะไร” นี่คือ ความเชื่อของพระพม่า พระพม่ารวมถึงสาวกของพระพม่าคิดว่า ความเชื่อของท่านนั้น ตรงกับความเป็นจริง (reality) สำหรับผม ผมเห็นว่า พระพม่ามีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ศาสนาพุทธต้อง “เห็น” ต้อง “รู้” ถ้าปราศจาก “การรู้” และ “การเห็น” แล้ว การปฏิบัติธรรม ถึงแม้จะถูกร่องรอยที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ผลที่ได้ก็จะได้เพียง “ความสงบของใจ” ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ขอยกหลักฐานชัดๆ แบบไม่มีใครกล้าเถียงก็คือ “วิปัสสนา” วิปัสสนาแปลว่า "เห็นแจ้ง" “วิ” แปลว่า “แจ้ง” “ปัสสนา” แปลว่า “เห็น” แสดงว่า “วิปัสสนา” ไม่ใช่การเห็นแบบธรรมดาทั่วไป แต่เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ในเมื่อการเห็นธรรมดาๆ สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปยังปฏิเสธ แล้วจะมีโอกาส วิปัสสนา/เห็นแจ้ง ได้อย่างไร ที่ น่าช้ำใจสุดๆ ก็คือ แม้กระทั่งสติปัฏฐาน 4 สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปก็ไม่มีทางทำได้ เพราะ สติปัฏฐาน 4 นั้น เกิดจากหัวข้อธรรมะ 4 หัวข้อนี้ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน = กาย + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน = เวทนา + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน = จิต + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน = ธรรม + อนุปัสสนา + สติปัฏฐาน คำว่า "อนุปัสสนา" นั้นแปลว่า ตามเห็น ในเมื่อการเห็นธรรมดาๆ สายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปยังปฏิเสธ แล้วจะมีโอกาส "อนุปัสสนา/ตามเห็น" กาย-เวทนา-จิต-ธรรมได้อย่างไร การเห็นของคนธรรมดาในโลก อายตนะ ภายในของคนเรามี 6 อย่าง คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และ ใจ ขอ ให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า อายตนะภายใน5 อย่างแรกชิ้นไหนสำคัญที่สุด ที่ไม่เลือกเอา "ใจ" เข้ามาพิจารณาด้วยในกรณีนี้ ก็เพราะมีพุทธพจน์ยืนยันอยู่แล้วว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ดังนั้น อายตนะภายใน 6 อย่าง จิต/ใจ/วิญญาณสำคัญที่สุดแน่ๆ เมื่อ พิจารณาอย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้ว โดยใช้วิธีการตัดสิ่งที่ไม่สำคัญในการเรียนรู้ออกไปก่อนโดยลำดับ จะเห็นว่าสิ่งที่ไม่สำคัญในการเรียนรู้อันดับแรกและอันดับสองก็น่าจะเป็น "จมูกกับลิ้น" อวัยวะภายใน 2 อย่างนั้น เอาไว้ใช้ดมกลิ่นกับลิ้มรส ก็จะหาความรู้ได้เพียงแคบๆ คือ รู้ว่า "สิ่ง" ใดมีรสหรือกลิ่นเป็นเช่นใดเท่านั้น เหลืออวัยวะภายในให้เลือกอีก 3 อย่าง คือ หู ตา และ กาย ทั้ง 3 อวัยวะภายในดังกล่าวนั้น การสัมผัสโดยกายน่าจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าอวัยวะภายในที่เหลือ คือ หูกับตา เมื่อพิจารณาถึงหูกับตา ในประเด็นการหาความรู้เพิ่มเติม ผมสามารถลงความเห็นได้เลยว่า ตาสำคัญที่สุด เรา อาจจะทดลองง่ายๆ ก็ได้ คือ หากลุ่มตัวอย่างมาจำนวนหนึ่ง กลุ่มหนึ่งให้ “ปิดหู” เสีย ใช้แต่ตา แล้วก็สอน “อะไรบางอย่าง” ให้กับกลุ่มนี้ อีกกลุ่มหนึ่งก็ “ปิดตา” ให้ใช้แต่หูอย่างเดียว แล้วเราก็สอน “อะไรบางอย่าง” ซึ่งต้องเป็นอย่างเดียวกับกลุ่มแรก แล้วก็ดูว่า กลุ่มไหนสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่ากัน ท่าน ก็จะรู้ว่า คนที่ตาดีๆ แต่แกล้งเป็นคนตาบอดนั้น เรียนลำบากลำบนมาก แล้วผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป มีตาดีๆ อยู่แล้ว กลับไม่ใช้ กลับแกล้งตาบอดซะ แล้วจะรู้หัวข้อธรรมะต่างๆ ได้อย่างไร ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร... ขอบคุณ... http://blindburmamonk.blogspot.com/2011/11/blog-post_25.html

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...