อานิสงส์แห่งการบวช

แสดงความคิดเห็น

เมื่อกล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของการบวชแล้ว ผู้บวชควรจะทำในใจถึงผลของการบวชให้กว้างออกไปเป็น ๓ ประการ เป็นอย่างน้อย อานิสงส์ของการบวชนั้นย่อมมีมากมายกว้างขวางเหลือที่จะกล่าวให้ครบถ้วนเป็น รายละเอียดได้แต่เราอาจจะประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท กล่าวคือ

อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเอง

อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดา บิดาที่เป็นประธาน

อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ พระศาสนา

รวมเป็น ๓ ประการด้วยกัน ดังนี้

สำหรับ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเองนั้น โดย ส่วนใหญ่ ย่อมหมายถึงการพ้นไปจากการเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์ หรือที่เรียกว่า "นิพพาน" นี้เป็นที่ตั้ง หากไม่ได้ถึงนั้น ก็ย่อมได้รองลงมาในอันดับที่รองลงมา คือ มีไฟกิเลส และไฟทุกข์เผาผลาญแต่เพียงเบาบาง แล้วแต่ว่าตนจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยได้ดีเพียงไร นี้กล่าวสำหรับผู้บวชตลอดไป ส่วนผู้ที่บวชเฉพาะกาลชั่วคราว ตามขนบะรรมเนียมประเพณีของบางประเทศนั้น ย่อมได้ผลโดยสรุปคือ จักได้เรียนรู้ศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างใกล้ชิด จักได้ลองชิมการปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องพ้นทุกข์ดู เท่าที่ตนจะปฏิบัติได้ และในที่สุดจักได้กลับออกมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว ทั้งหมดนี้เรียกว่า อานิสงส์ที่ผู้นั้นจะพึงได้รับ เฉพาะตนและตนจะต้องทำให้ได้รับจริง ๆ อย่าให้เสียทีที่ได้บวชเลย

สำหรับ อานิสงส์ที่ได้พึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดาบิดาเป็นต้นนั้น ข้อนี้ย่อมหมายถึงการมุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณเป็นที่ตั้ง มีมารดาบิดาเป็นประธานของบุคคลเหล่านั้นๆ คนเราพอสักว่าเกิดมาในขณะนั้น ยังไม่ทันจะลืมตาดูโลกได้ก็เป็นหนี้บุญคุณแก่คนทั้งหลายอย่างมากมายเหลือที่ จะกล่าวได้เสียแล้ว สำหรับมารดาบิดานั้นไม่ต้องกล่าวเพราะว่าท่านมีบุญคุณเหนือเศียรเกล้าของ บุตรเพียงไรนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์กันดีแล้ว ส่วนที่ว่า "เป็นหนี้บุญคุณผู้อื่นอีกมากมายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก" นั้น ข้อนี้หมายความว่า พอเด็กคลอดออกมาก็ต้องอาศัยสติปัญญาวิชาความรู้ของผู้ที่เป็นแพทย์ เป็นหมอ ของผู้ที่รู้จักคิดรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นในโลก และของผู้ที่ทำการช่วยเหลือแวดล้อมทุกอย่างทุกประการโดยไม่รู้สึกตัว จนอาจจะสรุปได้ว่า พอเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุณคนทั้งโลกทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนดี ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหลาย ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นประธาน ในการตอบแทนบุญคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะตอบแทนดียิ่งไปกว่าการทำให้ผู้มีบุญคุณนั้นๆ ได้รับความดี ความงามอันสูงสุด สำหรับความดีความงามอันสูงสุดนั้น ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การได้พ้นไปจากความทุกข์ หรือพ้นไปจากการถูกเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์

เพราะเหตุฉะนี้แหละ บุตรที่จะต้องตอบแทนมารดาบิดาจักต้องสำนึกถึงการทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น ได้รับความดีความงาม เป็นความพ้นทุกข์ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ท่านผู้รู้ได้กล่าวเปรียบความข้อนี้ไว้ว่าแม้หากจะทำได้ถึงกับว่าให้มารดา บิดาทั้งสองอยู่บนบ่าของบุตร แล้วฟูมฟักรักษามารดาบิดานั้น ไม่ให้อนาทรร้อนใจด้วยการกินอยู่เป็นต้น บนบ่าโดยไม่ต้องลงสู่พื้นดินเลย เป็นเวลาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ก็ยังหาจัดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา ได้เพียงพอหรือเหมาะสมกันไม่ แต่ท่านได้กล่าวไว้สืบไปว่า ถ้าหากบุตรคนใดได้ทำมารดาบิดา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าทำมารดาบิดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น จนถึงกับออกจากทุกข์ได้หมดจนสิ้นเชิง นี้แหละ ก็คือการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดาได้อย่างสมกัน เราจึงเห็นได้ชัดว่า โอกาสแห่งการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดานั้น นับว่ามีมากที่สุดในการบวช คือว่าด้วยการบวชนั้น จักทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หรือเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ได้ใกล้ชิดการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยยิ่งขึ้นได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรม อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตน ตรัย จนเป็นที่รับประกันได้ว่า ไม่มีทางที่จะตกไปสู่อบายได้เลย ดังนี้เป็นต้น

จึงนับว่า การบวชที่ถูกต้องนี้เป็นโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาได้จริง ๆ แต่ทั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงๆ ได้รับผลแห่งพรหมจรรย์นี้จริงๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้อื่นจริงๆ ล้วนแต่เป็นการทำจริงไปทั้งหมดดังนี้ จึงจะมีผลเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาเป็นต้น อันเป็นที่รักที่เคารพจริงอย่างเหมาะสมกันได้ ขอให้ผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงอ้างเอาคุณมารดาบิดาเป็นที่ตั้ง โดยมีความสำนึกว่า ท่านเหล่านั้นได้มีบุญคุณแก่เรามาก่อนแล้ว เป็นฝ่ายที่ทำแก่เราก่อน เรากำลังเป็นหนี้บุญคุณของท่านอยู่แล้ว แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย ด้วยการทำจริง ดังกล่าวมา ให้เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาอย่างเหมาะสมกัน อย่าให้เป็นขบถหรือหลอกลวงต่อความหวังของมารดาบิดาแต่ประการใดเลย อันนี้แลเรียกว่า อานิสงส์ของการบวชที่จะพึงได้แก่ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น

สำหรับ อานิสงส์อันจะพึงได้แก่ พระศาสนาเอง เป็นประการสุดท้ายนั้น ข้อนี้หมายความว่า แม้พระศาสนาก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเสื่อมสูญไปได้ ถ้าหากไม่มีการปรุงแต่งสืบต่ออายุเอาไว้

เพราะฉะนั้น การบวชของพวกเรา จึงมีความมุ่งหมายให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปด้วยอีกส่วนหนึ่งเราที่ได้บวช นี้ก็เพราะมีพระพุทธศาสนา ถ้าหากไม่มีพระศาสนา เราจะบวชได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้อยู่ดีแล้ว บุญคุณของพระศาสนานั้นเองที่ทำให้เราได้บวช เพราะฉะนั้นเราจักตอบแทนคุณของพระศาสนา ถ้ากล่าวให้ยืดออกไปกว่านี้อีก คือ เราต้องรำลึกถึงคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนากันมาเป็นลำดับ ๆ นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ จนทำให้เราได้บวช เราต้องสำนึกถึงบุญคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ซึ่งแต่ละท่านล้วนแต่หวังว่า เราผู้เป็นลูกศิษย์ชั้นหลังๆ จักช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้เป็นช่วงๆ รับมอบกันไปอย่าให้ขาดสายได้ นี้เป็นเหตุให้เราต้องคิดตอบแทนคุณอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ด้วยการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ได้จริงๆ ถ้าจะกล่าวให้ยืดออกไปกว่านั้นอีก เราจะต้องรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นต้นกำเนิดของพระศาสนา ในข้อที่พระองค์ได้ทรงเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในการประดิษฐานพระศาสนาซึ่งเมื่อเราได้ศึกษา ประวัติอันประเสริฐของพระองค์แล้วเราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงบากบั่นในการ ประดิษฐานและเผยแพร่พระศาสนานี้ จนถ้าจะกล่าวโดยโวหารธรรมดาก็กล่าวได้ว่า "ตายคาที่บนแผ่นดินกลางทางเดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง" ไม่ได้ตายบนกุฏิเหมือนเราท่านทั้งหลายโดยมาก

สรุปข้อความนี้ว่า พระองค์ทรงมีความพยายามและความหวังอย่างยิ่ง ที่จะประดิษฐานพระศาสนาของพระองค์ให้มั่นคงอยู่ในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพราะเหตุฉะนั้นแหละเราจะต้องบากบั่นในการสืบอายุพระศาสนา ให้สมกับตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้และให้สมกับบุญคุณอันใหญ่หลวงที่ พระองค์ทรงกระทำไว้แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพื่อจะให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้สมจริงนั้น ย่อมมีอยู่แต่ทางเดียวเท่านั้น คือ เราจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงให้ได้รับผลของพรหมจรรย์นี้จริง แล้วพยายามสั่งสอนผู้อื่นต่อกันไปจริง จึงจะเป็นการสืบอายุพระศาสนาเป็นเครื่องบูชาตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้จริง เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพระคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนา สืบต่อกันลงมาจนถึงพวกเรา และรำลึกถึงคุณของพระศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของสัตว์ได้จริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนคุณพระศาสนา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์และคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการเรียนจริงปฏิบัติจริงเป็นต้น ดังกล่าวแล้ว นี้เรียกว่า อานิสงส์ของการบวชอันจะพึงได้แก่ ตัวศาสนาเอง ซึ่งในที่สุดอานิสงส์อันนั้นก็จะแผ่ไปในทุกๆโลก ทั้งมนุษยโลกและเทวโลกเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คุ้มครองสิ่งที่มีชีวิต ทั้งหลายให้เยือกเย็นอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระศาสนาตลอดกาลนาน

รวมอานิสงส์ ทั้ง 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ

อานิสงส์ที่พึงจะได้แก่ ตัวผู้บวชเอง

อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นประธาน

และอานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวพระศาสนา

ดังนี้แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ที่เราจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยการอดกลั้นอดทนเพื่อให้เกิดการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง แล้วสั่งสอนสืบต่อกันไปจริง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีการกระทำอย่างใดที่จะดียิ่งกว่าการกระทำอันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์ของการบวชที่พวกเราจะพึงได้รับ

ขอขอบคุณธรรมะ โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

http://www.inwza.com/2013/03/blog-post_6.html

ที่มา: http://www.inwza.com/2013/03/blog-post_6.html
วันที่โพสต์: 15/03/2556 เวลา 04:27:44

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

เมื่อกล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของการบวชแล้ว ผู้บวชควรจะทำในใจถึงผลของการบวชให้กว้างออกไปเป็น ๓ ประการ เป็นอย่างน้อย อานิสงส์ของการบวชนั้นย่อมมีมากมายกว้างขวางเหลือที่จะกล่าวให้ครบถ้วนเป็น รายละเอียดได้แต่เราอาจจะประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ ๓ ประเภท กล่าวคือ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเอง อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดา บิดาที่เป็นประธาน อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ พระศาสนา รวมเป็น ๓ ประการด้วยกัน ดังนี้ สำหรับ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเองนั้น โดย ส่วนใหญ่ ย่อมหมายถึงการพ้นไปจากการเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์ หรือที่เรียกว่า "นิพพาน" นี้เป็นที่ตั้ง หากไม่ได้ถึงนั้น ก็ย่อมได้รองลงมาในอันดับที่รองลงมา คือ มีไฟกิเลส และไฟทุกข์เผาผลาญแต่เพียงเบาบาง แล้วแต่ว่าตนจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยได้ดีเพียงไร นี้กล่าวสำหรับผู้บวชตลอดไป ส่วนผู้ที่บวชเฉพาะกาลชั่วคราว ตามขนบะรรมเนียมประเพณีของบางประเทศนั้น ย่อมได้ผลโดยสรุปคือ จักได้เรียนรู้ศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างใกล้ชิด จักได้ลองชิมการปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องพ้นทุกข์ดู เท่าที่ตนจะปฏิบัติได้ และในที่สุดจักได้กลับออกมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว ทั้งหมดนี้เรียกว่า อานิสงส์ที่ผู้นั้นจะพึงได้รับ เฉพาะตนและตนจะต้องทำให้ได้รับจริง ๆ อย่าให้เสียทีที่ได้บวชเลย สำหรับ อานิสงส์ที่ได้พึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดาบิดาเป็นต้นนั้น ข้อนี้ย่อมหมายถึงการมุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณเป็นที่ตั้ง มีมารดาบิดาเป็นประธานของบุคคลเหล่านั้นๆ คนเราพอสักว่าเกิดมาในขณะนั้น ยังไม่ทันจะลืมตาดูโลกได้ก็เป็นหนี้บุญคุณแก่คนทั้งหลายอย่างมากมายเหลือที่ จะกล่าวได้เสียแล้ว สำหรับมารดาบิดานั้นไม่ต้องกล่าวเพราะว่าท่านมีบุญคุณเหนือเศียรเกล้าของ บุตรเพียงไรนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์กันดีแล้ว ส่วนที่ว่า "เป็นหนี้บุญคุณผู้อื่นอีกมากมายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก" นั้น ข้อนี้หมายความว่า พอเด็กคลอดออกมาก็ต้องอาศัยสติปัญญาวิชาความรู้ของผู้ที่เป็นแพทย์ เป็นหมอ ของผู้ที่รู้จักคิดรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นในโลก และของผู้ที่ทำการช่วยเหลือแวดล้อมทุกอย่างทุกประการโดยไม่รู้สึกตัว จนอาจจะสรุปได้ว่า พอเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุณคนทั้งโลกทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนดี ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหลาย ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นประธาน ในการตอบแทนบุญคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะตอบแทนดียิ่งไปกว่าการทำให้ผู้มีบุญคุณนั้นๆ ได้รับความดี ความงามอันสูงสุด สำหรับความดีความงามอันสูงสุดนั้น ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การได้พ้นไปจากความทุกข์ หรือพ้นไปจากการถูกเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์ เพราะเหตุฉะนี้แหละ บุตรที่จะต้องตอบแทนมารดาบิดาจักต้องสำนึกถึงการทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น ได้รับความดีความงาม เป็นความพ้นทุกข์ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ท่านผู้รู้ได้กล่าวเปรียบความข้อนี้ไว้ว่าแม้หากจะทำได้ถึงกับว่าให้มารดา บิดาทั้งสองอยู่บนบ่าของบุตร แล้วฟูมฟักรักษามารดาบิดานั้น ไม่ให้อนาทรร้อนใจด้วยการกินอยู่เป็นต้น บนบ่าโดยไม่ต้องลงสู่พื้นดินเลย เป็นเวลาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ก็ยังหาจัดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา ได้เพียงพอหรือเหมาะสมกันไม่ แต่ท่านได้กล่าวไว้สืบไปว่า ถ้าหากบุตรคนใดได้ทำมารดาบิดา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าทำมารดาบิดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น จนถึงกับออกจากทุกข์ได้หมดจนสิ้นเชิง นี้แหละ ก็คือการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดาได้อย่างสมกัน เราจึงเห็นได้ชัดว่า โอกาสแห่งการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดานั้น นับว่ามีมากที่สุดในการบวช คือว่าด้วยการบวชนั้น จักทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หรือเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ได้ใกล้ชิดการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยยิ่งขึ้นได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรม อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตน ตรัย จนเป็นที่รับประกันได้ว่า ไม่มีทางที่จะตกไปสู่อบายได้เลย ดังนี้เป็นต้น จึงนับว่า การบวชที่ถูกต้องนี้เป็นโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาได้จริง ๆ แต่ทั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงๆ ได้รับผลแห่งพรหมจรรย์นี้จริงๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้อื่นจริงๆ ล้วนแต่เป็นการทำจริงไปทั้งหมดดังนี้ จึงจะมีผลเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาเป็นต้น อันเป็นที่รักที่เคารพจริงอย่างเหมาะสมกันได้ ขอให้ผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงอ้างเอาคุณมารดาบิดาเป็นที่ตั้ง โดยมีความสำนึกว่า ท่านเหล่านั้นได้มีบุญคุณแก่เรามาก่อนแล้ว เป็นฝ่ายที่ทำแก่เราก่อน เรากำลังเป็นหนี้บุญคุณของท่านอยู่แล้ว แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย ด้วยการทำจริง ดังกล่าวมา ให้เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาอย่างเหมาะสมกัน อย่าให้เป็นขบถหรือหลอกลวงต่อความหวังของมารดาบิดาแต่ประการใดเลย อันนี้แลเรียกว่า อานิสงส์ของการบวชที่จะพึงได้แก่ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น สำหรับ อานิสงส์อันจะพึงได้แก่ พระศาสนาเอง เป็นประการสุดท้ายนั้น ข้อนี้หมายความว่า แม้พระศาสนาก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเสื่อมสูญไปได้ ถ้าหากไม่มีการปรุงแต่งสืบต่ออายุเอาไว้ เพราะฉะนั้น การบวชของพวกเรา จึงมีความมุ่งหมายให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปด้วยอีกส่วนหนึ่งเราที่ได้บวช นี้ก็เพราะมีพระพุทธศาสนา ถ้าหากไม่มีพระศาสนา เราจะบวชได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้อยู่ดีแล้ว บุญคุณของพระศาสนานั้นเองที่ทำให้เราได้บวช เพราะฉะนั้นเราจักตอบแทนคุณของพระศาสนา ถ้ากล่าวให้ยืดออกไปกว่านี้อีก คือ เราต้องรำลึกถึงคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนากันมาเป็นลำดับ ๆ นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ จนทำให้เราได้บวช เราต้องสำนึกถึงบุญคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ซึ่งแต่ละท่านล้วนแต่หวังว่า เราผู้เป็นลูกศิษย์ชั้นหลังๆ จักช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้เป็นช่วงๆ รับมอบกันไปอย่าให้ขาดสายได้ นี้เป็นเหตุให้เราต้องคิดตอบแทนคุณอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ด้วยการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ได้จริงๆ ถ้าจะกล่าวให้ยืดออกไปกว่านั้นอีก เราจะต้องรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นต้นกำเนิดของพระศาสนา ในข้อที่พระองค์ได้ทรงเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในการประดิษฐานพระศาสนาซึ่งเมื่อเราได้ศึกษา ประวัติอันประเสริฐของพระองค์แล้วเราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงบากบั่นในการ ประดิษฐานและเผยแพร่พระศาสนานี้ จนถ้าจะกล่าวโดยโวหารธรรมดาก็กล่าวได้ว่า "ตายคาที่บนแผ่นดินกลางทางเดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง" ไม่ได้ตายบนกุฏิเหมือนเราท่านทั้งหลายโดยมาก สรุปข้อความนี้ว่า พระองค์ทรงมีความพยายามและความหวังอย่างยิ่ง ที่จะประดิษฐานพระศาสนาของพระองค์ให้มั่นคงอยู่ในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพราะเหตุฉะนั้นแหละเราจะต้องบากบั่นในการสืบอายุพระศาสนา ให้สมกับตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้และให้สมกับบุญคุณอันใหญ่หลวงที่ พระองค์ทรงกระทำไว้แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพื่อจะให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้สมจริงนั้น ย่อมมีอยู่แต่ทางเดียวเท่านั้น คือ เราจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงให้ได้รับผลของพรหมจรรย์นี้จริง แล้วพยายามสั่งสอนผู้อื่นต่อกันไปจริง จึงจะเป็นการสืบอายุพระศาสนาเป็นเครื่องบูชาตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้จริง เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพระคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนา สืบต่อกันลงมาจนถึงพวกเรา และรำลึกถึงคุณของพระศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของสัตว์ได้จริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนคุณพระศาสนา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์และคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการเรียนจริงปฏิบัติจริงเป็นต้น ดังกล่าวแล้ว นี้เรียกว่า อานิสงส์ของการบวชอันจะพึงได้แก่ ตัวศาสนาเอง ซึ่งในที่สุดอานิสงส์อันนั้นก็จะแผ่ไปในทุกๆโลก ทั้งมนุษยโลกและเทวโลกเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คุ้มครองสิ่งที่มีชีวิต ทั้งหลายให้เยือกเย็นอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระศาสนาตลอดกาลนาน รวมอานิสงส์ ทั้ง 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ อานิสงส์ที่พึงจะได้แก่ ตัวผู้บวชเอง

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...