เด็กไทยเสี่ยงภัยถาวรจากสารพิษในสิ่งแวดล้อม

แสดงความคิดเห็น

ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีพบเด็กที่อาศัยใกล้โรงงานอุตสาหกรรมมีสารตะกั่วในเลือดสูงถึงขั้นอันตราย และมูลนิธิบูรณะนิเวศนำเสนองานวิจัยยืนยัน สารพิษในสิ่งแวดล้อมส่งผลให้พัฒนาการทางสมองของเด็กผิดปกติอย่างถาวร

สืบเนื่องจากกรณีทารกวัย ๘ เดือน ซึ่งเติบโตในโรงงานคัดแยกขยะอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลรามาธิบดีด้วยอาการชักจากพิษสารตะกั่ว โดยมีปริมาณตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง ๑๗ เท่า ศูนย์วิจัยฯ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ลงพื้นที่ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารตะกั่วในเลือดของเด็กเล็ก๑๖๕ คน ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงโรงงานดังกล่าว พบเด็กผู้ชาย ๑ ใน ๒ มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน (๕๐ ใน ๘๖ คน หรือ ร้อยละ ๕๘.๑) และเด็กผู้หญิง ๑ ใน ๓ มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน(๒๔ ใน ๗๙ คน หรือ ร้อยละ ๓๐.๔) ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของตะกั่วในเลือดที่ยอมรับได้ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยแน่นอน คือ๑๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)

แพทย์สันนิษฐานว่าสารตะกั่วจากโรงงานฟุ้งกระจายตามลม ตกสู่ดินและแหล่งน้ำ จนเข้าสู่ร่างกายเด็กผ่านระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารโดยเด็กผู้ชายมีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าเด็กผู้หญิงอาจเกิดจากพฤติกรรมการเล่นของเด็กผู้ชายที่สัมผัสกับฝุ่นและดินมากกว่า

“การได้รับสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานจะทำให้ระดับไอคิวในเด็กลดลง และยังทำให้ระบบประสาทผิดปกติ เกิดภาวะสมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้ผิดปกติ” รศ.นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ รพ. รามาธิบดี กล่าว“กรณีสมุทรสาครเป็นตัวอย่างว่าผู้ประกอบการทำไม่ถูก แม้โรงงานจะถูกสั่งปิด แต่เด็กจะโง่ไปอีกนาน ไม่มีการชดเชย และยังมีโรงงานอื่นๆ อีกจำนวนมาก”

“การตรวจคัดกรองปริมาณตะกั่วในเลือดเด็กควรบรรจุในการตรวจสุขภาพประจำ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่อาศัยในพื้นที่อุตสาหกรรม” รศ.นพ. อดิศักดิ์ กล่าวเสริม “อาจตรวจเมื่อเด็กเข้ารับวัคซีนเมื่อครบ ๑ ขวบและ๕ ขวบ และควรพิจารณาว่าภาคเอกชนจะร่วมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร”

ผลงานวิจัยด้านประสาทพิษวิทยาที่เพิ่มขึ้นในยุคหลัง ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง “บนทางแห่งภัย: เมื่อสารพิษคุกคามพัฒนาการเด็ก” จัดแปลเป็นไทยโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังชี้ชัดว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด เนื่องจากเด็กและทารกในครรภ์อยู่ระหว่างการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทอันอ่อนไหวต่อสารเคมีหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยในสหรัฐฯ หลายฉบับ พบว่าการได้รับสารตะกั่วแม้ในปริมาณน้อย หากเกิดต่อทารกในครรภ์และเด็กเล็ก จะเกิดผลกระทบระยะยาว ซึ่งอาจปรากฏผลภายหลังเมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น ภาวะสมาธิสั้น ความสามารถยั้งคิดบกพร่อง หงุดหงิดง่ายและอาจถึงขั้นมีพฤติกรรมก้าวร้าว

“เป็นที่น่าตกใจว่าระดับตะกั่วในเลือดที่จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพคือศูนย์ นั่นคือต้องไม่มีตะกั่วในเลือดเลยเด็กไทยจึงจะปลอดภัย” ดร. อาภา หวังเกียรติ รองคณบดี วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว “ถึงเวลาจริงๆแล้วที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เด็กไทยจะใช้ชีวิตและร่างกายเป็นเครื่องทดสอบสารพิษ จนสังคมไทยเต็มไปด้วยเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีความบกพร่องของสมองมากเหมือนสหรัฐอเมริกา”

ค่ามาตรฐานความปลอดภัยของสารปรอทลดลงเช่นกันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๕สหรัฐฯ กำหนดค่าความปลอดภัยของการได้รับสารปรอทไว้ที่ ๓๔ มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ต่อวัน (mg/kg/วัน) โดยกำหนดจากปริมาณสารปรอทที่เป็นเหตุให้ทารกปัญญาอ่อนอย่างรุนแรงแต่กำเนิดต่อมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าเด็กที่ได้รับสารปรอทในปริมาณต่ำกว่าค่าความปลอดภัยดังกล่าว มีไอคิวต่ำ เริ่มพูดและเริ่มเดินช้ากว่าเด็กทั่วไป จนกระทั่งปัจจุบัน องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ กำหนดค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ของสารปรอทไว้เพียง๐.๘๕ mg/kg/วัน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงพบทารกที่ได้รับสารปรอทไม่เกินค่ามาตรฐาน ที่แสดงความบกพร่องทางภาษา ความจำ และสมาธิทั้งนี้ ปรอทเป็นโลหะหนักที่พบในขยะอันตราย ปลาที่เติบโตในน้ำเสียอุตสาหกรรม การเผาไหม้จากโรงไฟฟ้าถ่านหินเตาเผาขยะ เป็นต้น งานวิจัยในยุคก่อนยังมีข้อจำกัดเนื่องจากอยู่บนสมมุติฐานว่ามนุษย์จะได้รับสารเคมีเพียงตัวเดียว เสมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องทดลองเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มนุษย์ได้รับสารเคมีหลายชนิดพร้อมๆ กันจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงยิ่งขึ้นแม้ได้รับสารเคมีแต่ละตัวในปริมาณที่ไม่เกินค่ามาตรฐาน

เด็กที่ด้อยสมรรถภาพในการเรียนรู้ จะประสบปัญหาในการพูด อ่าน เขียน คิดเลข ตั้งสมาธิ และจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เผชิญอุปสรรคในการทำงาน งานวิจัยในสหรัฐฯ เมื่อพ.ศ. ๒๕๔๘ ประเมินว่าการสูญเสียความสามารถในผู้ใหญ่เนื่องจากได้รับสารปรอทในวัยเยาว์ ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ๘,๗๐๐ ล้านดอลล่าร์ หรือ ๒.๖ แสนล้านบาทต่อปี

“ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น” ดร.นพ.สมเกียรติศิริรัตนพฤกษ์ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข“ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดหรือได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเด็กซึ่งเป็นลูกหลานของเรา และจะเป็นอนาคตของประเทศ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องดูแลคนกลุ่มนี้ให้ปลอดภัยจากมลพิษสิ่งแวดล้อมอย่างดีที่สุด”

นอกเหนือจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสังคมยังส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กแต่ปัจจุบัน มีงานวิจัยเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมส่งผลชัดเจนต่อความบกพร่องของพัฒนาการทางสมองในเด็ก และที่สำคัญ สารพิษในสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้

“ความเชื่อผิดๆ ว่าเรายังสาเหตุของปัญหาไม่ได้ ทำให้เรายอมจำนนต่อปัญหา และบ่มเพาะพิษภัยที่นับวันจะร้ายแรงมากขึ้น” นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว “เราต้องการเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการชุดนี้สู่สาธารณะ เพื่อให้ทุกฝ่ายที่ต้องการปกป้องสุขภาพของเพื่อนมนุษย์ได้ใช้เป็นเครื่องมือประกอบการทำงาน”

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย ๒ ต.ค.๕๕
วันที่โพสต์: 3/10/2555 เวลา 14:42:35

ชอบเรื่องนี้ไหม? ชอบ ไม่ชอบ ไม่มีความเห็น

ยังไม่มีเรตติ้ง

แสดงความคิดเห็น

รอตรวจสอบ
จัดฟอร์แม็ต ดูการแสดงผล

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

รอตรวจสอบ

ยกเลิก

รายละเอียดกระทู้

ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัย และป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีพบเด็กที่อาศัยใกล้โรงงานอุตสาหกรรมมีสารตะกั่วในเลือดสูงถึงขั้นอันตราย และมูลนิธิบูรณะนิเวศนำเสนองานวิจัยยืนยัน สารพิษในสิ่งแวดล้อมส่งผลให้พัฒนาการทางสมองของเด็กผิดปกติอย่างถาวร สืบเนื่องจากกรณีทารกวัย ๘ เดือน ซึ่งเติบโตในโรงงานคัดแยกขยะอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครถูกส่งตัวมาโรงพยาบาลรามาธิบดีด้วยอาการชักจากพิษสารตะกั่ว โดยมีปริมาณตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง ๑๗ เท่า ศูนย์วิจัยฯ โรงพยาบาลรามาธิบดีได้ลงพื้นที่ตรวจวิเคราะห์ปริมาณสารตะกั่วในเลือดของเด็กเล็ก๑๖๕ คน ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงโรงงานดังกล่าว พบเด็กผู้ชาย ๑ ใน ๒ มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน (๕๐ ใน ๘๖ คน หรือ ร้อยละ ๕๘.๑) และเด็กผู้หญิง ๑ ใน ๓ มีสารตะกั่วในเลือดสูงเกินค่ามาตรฐาน(๒๔ ใน ๗๙ คน หรือ ร้อยละ ๓๐.๔) ทั้งนี้ ค่ามาตรฐานของตะกั่วในเลือดที่ยอมรับได้ แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยแน่นอน คือ๑๐ มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) แพทย์สันนิษฐานว่าสารตะกั่วจากโรงงานฟุ้งกระจายตามลม ตกสู่ดินและแหล่งน้ำ จนเข้าสู่ร่างกายเด็กผ่านระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารโดยเด็กผู้ชายมีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าเด็กผู้หญิงอาจเกิดจากพฤติกรรมการเล่นของเด็กผู้ชายที่สัมผัสกับฝุ่นและดินมากกว่า “การได้รับสารตะกั่วเกินค่ามาตรฐานจะทำให้ระดับไอคิวในเด็กลดลง และยังทำให้ระบบประสาทผิดปกติ เกิดภาวะสมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้ผิดปกติ” รศ.นพ. อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยฯ รพ. รามาธิบดี กล่าว“กรณีสมุทรสาครเป็นตัวอย่างว่าผู้ประกอบการทำไม่ถูก แม้โรงงานจะถูกสั่งปิด แต่เด็กจะโง่ไปอีกนาน ไม่มีการชดเชย และยังมีโรงงานอื่นๆ อีกจำนวนมาก” “การตรวจคัดกรองปริมาณตะกั่วในเลือดเด็กควรบรรจุในการตรวจสุขภาพประจำ โดยเฉพาะสำหรับเด็กที่อาศัยในพื้นที่อุตสาหกรรม” รศ.นพ. อดิศักดิ์ กล่าวเสริม “อาจตรวจเมื่อเด็กเข้ารับวัคซีนเมื่อครบ ๑ ขวบและ๕ ขวบ และควรพิจารณาว่าภาคเอกชนจะร่วมแบกรับภาระค่าใช้จ่ายนี้อย่างไร” ผลงานวิจัยด้านประสาทพิษวิทยาที่เพิ่มขึ้นในยุคหลัง ซึ่งรวบรวมไว้ในหนังสือเรื่อง “บนทางแห่งภัย: เมื่อสารพิษคุกคามพัฒนาการเด็ก” จัดแปลเป็นไทยโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังชี้ชัดว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด เนื่องจากเด็กและทารกในครรภ์อยู่ระหว่างการสร้างเซลล์สมองและระบบประสาทอันอ่อนไหวต่อสารเคมีหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยในสหรัฐฯ หลายฉบับ พบว่าการได้รับสารตะกั่วแม้ในปริมาณน้อย หากเกิดต่อทารกในครรภ์และเด็กเล็ก จะเกิดผลกระทบระยะยาว ซึ่งอาจปรากฏผลภายหลังเมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น ภาวะสมาธิสั้น ความสามารถยั้งคิดบกพร่อง หงุดหงิดง่ายและอาจถึงขั้นมีพฤติกรรมก้าวร้าว “เป็นที่น่าตกใจว่าระดับตะกั่วในเลือดที่จะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพคือศูนย์ นั่นคือต้องไม่มีตะกั่วในเลือดเลยเด็กไทยจึงจะปลอดภัย” ดร. อาภา หวังเกียรติ รองคณบดี วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว “ถึงเวลาจริงๆแล้วที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องหามาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เด็กไทยจะใช้ชีวิตและร่างกายเป็นเครื่องทดสอบสารพิษ จนสังคมไทยเต็มไปด้วยเด็ก และผู้ใหญ่ที่มีความบกพร่องของสมองมากเหมือนสหรัฐอเมริกา” ค่ามาตรฐานความปลอดภัยของสารปรอทลดลงเช่นกันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๕สหรัฐฯ กำหนดค่าความปลอดภัยของการได้รับสารปรอทไว้ที่ ๓๔ มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ต่อวัน (mg/kg/วัน) โดยกำหนดจากปริมาณสารปรอทที่เป็นเหตุให้ทารกปัญญาอ่อนอย่างรุนแรงแต่กำเนิดต่อมา นักวิทยาศาสตร์พบว่าเด็กที่ได้รับสารปรอทในปริมาณต่ำกว่าค่าความปลอดภัยดังกล่าว มีไอคิวต่ำ เริ่มพูดและเริ่มเดินช้ากว่าเด็กทั่วไป จนกระทั่งปัจจุบัน องค์การพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ กำหนดค่ามาตรฐานที่ยอมรับได้ของสารปรอทไว้เพียง๐.๘๕ mg/kg/วัน อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยังคงพบทารกที่ได้รับสารปรอทไม่เกินค่ามาตรฐาน ที่แสดงความบกพร่องทางภาษา ความจำ และสมาธิทั้งนี้ ปรอทเป็นโลหะหนักที่พบในขยะอันตราย ปลาที่เติบโตในน้ำเสียอุตสาหกรรม การเผาไหม้จากโรงไฟฟ้าถ่านหินเตาเผาขยะ เป็นต้น งานวิจัยในยุคก่อนยังมีข้อจำกัดเนื่องจากอยู่บนสมมุติฐานว่ามนุษย์จะได้รับสารเคมีเพียงตัวเดียว เสมือนใช้ชีวิตอยู่ในห้องทดลองเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มนุษย์ได้รับสารเคมีหลายชนิดพร้อมๆ กันจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงยิ่งขึ้นแม้ได้รับสารเคมีแต่ละตัวในปริมาณที่ไม่เกินค่ามาตรฐาน เด็กที่ด้อยสมรรถภาพในการเรียนรู้ จะประสบปัญหาในการพูด อ่าน เขียน คิดเลข ตั้งสมาธิ และจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เผชิญอุปสรรคในการทำงาน งานวิจัยในสหรัฐฯ เมื่อพ.ศ. ๒๕๔๘ ประเมินว่าการสูญเสียความสามารถในผู้ใหญ่เนื่องจากได้รับสารปรอทในวัยเยาว์ ก่อให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ๘,๗๐๐ ล้านดอลล่าร์ หรือ ๒.๖ แสนล้านบาทต่อปี “ปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อมนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น” ดร.นพ.สมเกียรติศิริรัตนพฤกษ์ผู้อำนวยการสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข“ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดหรือได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเด็กซึ่งเป็นลูกหลานของเรา และจะเป็นอนาคตของประเทศ ดังนั้นเป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องดูแลคนกลุ่มนี้ให้ปลอดภัยจากมลพิษสิ่งแวดล้อมอย่างดีที่สุด” นอกเหนือจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสังคมยังส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กแต่ปัจจุบัน มีงานวิจัยเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมส่งผลชัดเจนต่อความบกพร่องของพัฒนาการทางสมองในเด็ก และที่สำคัญ สารพิษในสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ป้องกันได้ “ความเชื่อผิดๆ ว่าเรายังสาเหตุของปัญหาไม่ได้ ทำให้เรายอมจำนนต่อปัญหา และบ่มเพาะพิษภัยที่นับวันจะร้ายแรงมากขึ้น” นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว “เราต้องการเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการชุดนี้สู่สาธารณะ

จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย

  1. เพิ่ม
  2. เพิ่ม ลบ
  3. เพิ่ม ลบ
  4. เพิ่ม ลบ
  5. เพิ่ม ลบ
  6. เพิ่ม ลบ
  7. เพิ่ม ลบ
  8. เพิ่ม ลบ
  9. เพิ่ม ลบ
  10. ลบ
เลือกการตกแต่งที่ต้องการ

ตกลง ยกเลิก

รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)

Waiting...