ล้มแล้วลุก

ข้อคิดในการแก้ปัญหาชีวิต "ล้มแล้วลุก" เรียบเรียงจาก รายการทันโลกทันธรรม

ล้มแล้วลุก

โดยผศ.ดร.สุวัฒน์ อธิชนากร และ ชุลีพร ช่วงรังษี

ทุกคนมีโอกาสล้มได้เหมือนกันหมดเลย ไม่ว่าคนนั้นจะมีความสามารถมากน้อยเพียงใหน บางคนล้มลงเพราะว่าถูกผลัก บางคนก็ล้มเองเพราะความประมาท หรือไม่ระมัดระวังในเส้นทางที่ตัวเองเดินอยู่ แต่ข่าวดีก็คือการล้มเหลวหรือการล้มลงไม่ใช่จุดจบของชีวิต ทุกคนมีโอกาสลุกขึ้นมาได้เสมอ ถ้าล้มแล้วทำอย่างไรจึงจะลุกให้เร็ว แน่นอนทุกคนก็เจ็บเหมือนกันหมด แล้วทำอย่างไรให้เจ็บน้อย ก่อนอื่นเราต้องปรับมุมมองเกี่ยวกับความล้มเหลวก่อน ว่าการล้มเหลวนั้นเป็นเรื่องปกติซึ่งใครๆก็ล้มเหลวได้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ก็เคยล้มเหลวมาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นถ้าเราปรับมุมมองได้แล้ว เราก็จะเห็นว่าความล้มเหลวนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ก็จะมีพลังใจที่จะกลับมาก้าวสู่การปรับปรุงตัวเองเพื่อสู่ความสำเร็จต่อไป ใช้ความล้มเหลวให้เป็นบทเรียน แต่อย่าใช้เป็นประสบการณ์มาซ้ำเติมตัวเอง ถ้าสมมุติว่าเราล้มลงแล้ ทำอย่างไรถึงจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาได้

ลุกขึ้นให้ไว

1. ลุกขึ้นให้ไว หลังจากที่เราอาจจะเผชิญความล้มเหลว เราจะมีความเศร้า มีความผิดหวัง เกิดขึ้น ก็อย่าให้ความรู้สึกนี้อยู่กับเรานาน เอาความรู้สึกด้านบวกนั้นกลับมาให้ไวที่สุด พยายามนึกถึงเป้าหมายของเราว่า เราอยากทำตามความฝันเดิมไหม เรายังคงเป้าหมายเดิมไหม ถ้าเรายังอยากคงเป้าหมายเดิม เราก็เอาพลังเราเหลืออยู่ทั้งหมดนี้มาปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อมุ่งไปสู่เดิม วิธีการมันเปลี่ยนแปลงได้ แล้ววิธีการที่มันทำให้เราล้มลง มันอาจจะเป็นแค่การทดลองของเราว่าวิธีการนี้ไม่ใช่ ยังมีวิธีการที่มันใช่รอเราอยู่ เพราะฉะนั้นรีบลุกขึ้นมาแล้วไปหาวิธีการใหม่เลย

โฟกัส

2. โฟกัสที่วิธีการแก้ปัญหา อย่าไปโฟกัสที่ตัวปัญหา ในบางครั้งอาจจะมีปัญหาเรื่องของการเงิน บางคนก็ไปโฟกัสเรื่องเงิน บางคนก็ไปโฟกัสเรื่องของหนี้ วิตกกังวลว่าเออเรามีหนี้อยู่ก้อนโตจะทำยังไงดี วิธีการที่ดีที่สุดก็คือว่า จะต้องหาวิธีการหาเงินเพื่อมาชำระหนี้นั้น อย่าไปวิตกกังวลมากกับตัวก้อนหนี้ ให้เน้นที่วิธีการที่จะเพิ่มรายได้ เพื่อมาสะสางปัญหาและก็ฝ่าวิกฤตของเราต่อไป ตามปกติแล้ว ถ้าเรามองอะไรโฟกัสไปที่อะไร เราจะเห็นแต่สิ่งนั้น ถ้าเรามองแต่ปัญหา เราก็จะเห็นแต่ปัญหา ไม่เห็นทางออก ดังนั้นเปลี่ยนโฟกัส

ให้คิดบวก

3. ให้คิดบวก เพราะฉะนั้นเราเราควรจะขอบคุณกับทุกกรณี ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ดี หรือเหตุการณ์ที่เลวร้าย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ให้กับชีวิตของเรา เราจะควรขอบคุณกับทุกคนที่เราเผชิญหน้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีบุญคุณกับเรา หรือคนที่โกงเราไปก็ตาม เพราะว่าเขาเป็นครูที่สำคัญของเราทีเดียว สร้างเสริมประสบการณ์ของเรา เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งของเรา ที่ให้เรามีประสบการณ์มากขึ้นก้าวข้ามปัญหาอุปสรรคต่อไป ให้คิดเสมอว่าบทเรียนและอุปสรรคนี้จะส่งเราไปยังจุดที่ดีกว่า และเราจะต้องไปถึงจุดที่ดีที่สุดเสมอ

ช่างสังเกต

4. ช่างสังเกต แล้วก็รู้จักการตั้งคำถาม และก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะควรจะสังเกตความคิดของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ควรจะสังเกตเทคโนโลยี หรือความเป็นไปในบ้านเมืองที่จะเจริญก้าวหน้า พยามหาคำตอบว่าคนที่ประสบความสำเร็จนั้นเขาคิดอย่างไร เขามีมุมมองอย่างไรนะครับ ที่จะแก้ปัญหาต่างๆ แล้วเราก็พยายามจะแก้ปัญหาของเราได้ แนวคิดนั้นๆ ทุกความสำเร็จทิ้งร่องรอยไว้เสมอ แกะรอยให้ถูก แล้วเราก็จะสำเร็จเหมือนเขา

พยายามพูดคุยกับคนรอบข้าง

5. พยายามพูดคุยกับคนรอบข้าง อาจจะเป็นญาติสนิทของเราเป็นพี่น้อง หรือเป็นเพื่อนสนิท เพราะว่าการพูดคุยกับคนอื่น จะช่วยเยียวยาจิตใจของเราได้ จะเป็นการสร้างเสริมกำลังใจของเรา เพื่อปลุกพลังทางใจ ปลุกพลังที่เรามีอยู่ให้ขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาของเราได้ ต้องกล้าปล่อยวาง ปล่อยวาง กลัวตัวเองดูไม่ดีในสายตาคนอื่น ไม่กล้าไปปรึกษาเขา เพราะว่าความกลัวนั้นมันไม่ช่วยอะไรเลย แต่คำแนะนำจากคนอื่นอาจจะช่วยให้เราดีขึ้น อย่างน้อยๆช่วยให้เราระบายความเครียดออกไป แล้วก็มีความรู้สึกที่ดีขึ้นที่จะไปต่อสู้ปัญหาได้

เลือกคิดถึงความทรงจำที่ดีๆ

6. เลือกคิดถึงความทรงจำที่ดีๆ เลือกคิดถึงความสำเร็จที่เราได้สร้างมาในอดีต เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างเสริมกำลังใจของเราในยามที่เรานึกถึงทุกครั้งก็ทำให้เราภาคภูมิใจ เราได้ก้าวมาไกลแล้ว ก้าวพ้นอุปสรรคต่างๆมามากมาย และทำให้เรามีพลังในด้านบวกที่จะเดินต่อไปอีก บางคนล้มเหลวแค่ครั้งสองครั้งเอง แต่สิ่งที่เขาทำมาดีๆทั้งชีวิตเขา เขาไม่จำแล้วก็ไปเก็บแต่ความล้มเหลว เอาเป็นพลังลบให้ตัวเอง เปลี่ยนใหม่ อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมดเลย แล้วสิ่งที่ดีๆ ทบทวนไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามีขึ้นมา

หยุดคิดในด้านลบ

7. หยุดคิดในด้านลบ เพราะว่าการที่เราคิดในด้านลบแล้วว่าตัวเองนี้แย่จังเลย ตัวเองนี้ไม่มีความสามารถจะไปบั่นทอนความคิดด้านบวกของเรา เพราะฉะนั้นเราต้องหยุดความคิดเหล่านี้ให้หมด เช่นถ้าเรามีปัญหาว่าโปรเจกต์นี้เนี่ยไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เราก็เปลี่ยนความคิดซะใหม่ว่า เออเราได้ทำไปแล้วนะ เต็มที่แล้วนะ อย่างน้อยก็มีคนสนใจระดับหนึ่ง ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จมากเท่าที่ต้องการก็ตาม ดีกว่านั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไรอย่างน้อยได้ประสบการณ์ แต่อาจารย์คะคนที่ล้มลงทุกคน แน่นอนเจ็บ ทีนี้มันต้องคิดมากเป็นธรรมดา เราจะทำยังไงล่ะคะถึงไม่คิดมาก

มีคำแนะนำจากนักสร้างแรงบันดาลใจ ชื่อ joyce meyer บอกว่า “worrying is like a locking chair it keeps you busy but take you nowhere.” ความหมายก็คือว่า การคิดมากวิตกกังวลไม่ได้ทำให้คุณก้าวไปไหนเลย สิ่งที่มันทำก็คือมันทำให้คุณยุ่งไปวันๆเท่านั้นเอง จริงๆแล้ว เราไม่สามารถคนให้คิดวนไปวนมาได้ แต่ว่าพยายามละความคิดของเรา

พยามทำกิจกรรมอื่นที่เบี่ยงเบนความสนใจของเรา เช่นไปพูดคุยกับเพื่อน ไปท่องเที่ยว ไปทำอะไรก็ตามที่สบายใจ หรือว่า เราอาจจะไปอ่านหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือว่าดูวีดีโอเทป ที่มีการพูดเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเองด้วย เรียกว่าหากิจกรรมอะไรก็ได้ที่ขัดจังหวะความคิดลบๆ แล้วจะทำให้เรามีความคิดบวก ถ้าเกิดว่าเราคิดลบแล้วเราก็ยังจมอยู่กับมัน มันก็ขยายใหญ่ขึ้นๆ จนเรามองไม่เห็นทางออก

ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบของชีวิต แล้วผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคน พ้นผ่านความล้มเหลวมาทั้งสิ้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ เขาไม่ล้มเลิก แน่นอนว่าวันนี้เราอาจจะเจ็บ แต่ว่าถ้าเราไม่ลุกขึ้นจะเป็นการเจ็บถาวร แต่ถ้าลุกให้ไวความเจ็บก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นลุกขึ้นเถอะอย่าท้อ คนที่ท้อเป็นได้แค่ถ่าน แต่คนที่ผ่านจึงจะเป็นเพชร และทั้งหมดเป็นส่วนของทันโลก

ในส่วนของทันธรรมโดยพระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ

ล้มได้ต้องลุกเป็น ถามว่าเราทุกคนที่ลุกเหิน เดิน นั่งได้ในขณะนี้นะ ใครที่เดินได้โดยที่ไม่เคยล้มเลย มีไหม คำตอบคงได้ว่า ไม่มี ถ้าของตัวเราเอง เราอาจจะลืมไปแล้ว เพราะตอนนั้นเรายังเด็กๆขวบหนึ่ง แต่ดูจากลูกๆหลานๆ เด็กๆที่เราเห็นนี้ แต่ละคนเป็นไง ตอนกำลังตั้งไข่ เกาะฝาผนังอยู่ เดี๋ยวเดินก้าวสองก้าวก็ล้มแผล็บๆ แล้วก็ลุกขึ้นมา แล้วก็เดินๆไปอีกสักหน่อยก็ล้มแผล็บ ล้มๆลุกๆจนสุดท้ายก็เดินได้คล่อง แล้วลองคิดดูถ้าเด็กคนไหนล้มแล้วก็เลยบอกว่า โอ๊ยล้มแล้วลุกไม่ไหว เกิดความสงสัยเราคงเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่สามารถเดินได้อย่างคนอื่นเขา ผลเป็นไง ก็จะเดินไม่ได้เลยตลอดทั้งชาติ แต่ที่เดินกันได้อยู่ตอนนี้เพราะเราไม่ได้คิดอย่างนั้น

ล้มแล้วเราก็ลุกขึ้นมา แล้วก็เดินต่อ ล้มก็ลุกอีก แต่ละครั้ง ละครั้งก็จะเดินได้ยาวขึ้น ยาวขึ้น เดินได้แข็งขึ้น จนกระทั่งเดินได้อย่างมั่นคง ก็เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ทุกๆคน เคยผ่านมาทั้งนั้น มองในภาพที่กว้างกว่านั้น นักทำงานที่ประสบความสำเร็จทั้งหลาย ไปเช็คประวัติดูเถอะไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองก็ตาม แต่ละคนกว่าจะยืนหยัดมาได้ แผลเต็มตัวทั้งนั้น เคยล้มมาแล้วทั้งนั้นเลย น้อยบ้างมากบ้าง แผลเล็กบ้างแผลใหญ่บ้าง เพราะอดทนล้มแล้วลุก ยืนหยัดสู้ สุดท้ายจึงประสบความสำเร็จ

มองให้กว้างไปกว่านั้น ดูตัวอย่างเป้าหมายที่ยากที่สุด ก็คือการตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมโพธิสัตว์ต้องสร้างบารมียาวนานตั้งแต่ชาติแรก ถึง 20 อสงไขยกับแสนมหากัป ซึ่งนานมากๆๆๆเลย ขนาดสร้างบารมีมา 16 อสงไขยกับแล้ว จนบารมีมากเพียงพอ แล้วก็ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า บุคคลผู้นี้ในอนาคตจะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าจะไม่เป็นสอง คือมันแน่นอนเหมือนกับผังชีวิตกำหนดแล้วว่า บุคคลผู้นี้จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตอย่างแน่ๆเลย อย่างพระพุทธเจ้าของเราก็ได้รับพุทธพยากรณ์เมื่อชาติที่พระองค์เกิดเป็นสุเมธดาบสแล้วพบพระทีปังกรพุทธเจ้า พระทีปังกรพุทธเจ้าก็พยากรณ์ว่า ดาบสผู้นี้ในอีก 4 อสงไขยกับแสนมหากัปนับแต่กัปนั้นจะตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งมันก็นานอีกเหมือนกัน

เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว เราจะเรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้จะตรัสรู้ธรรมไม่เปลี่ยนแล้ว นิยตโพธิสัตว์จะไม่ตกในฐานะอาภัพ 18 ประการ เช่น ไม่เป็นคนใบ้ คนบ้า คนปัญญาอ่อน เป็นต้น แต่ที่สำคัญในนั้นที่น่าใส่ใจก็คือหากตกนรกจะไม่ลงขุมลึกเกินไป เช่นไม่ลงอเวจีมหานรก เป็นต้น หากเกินเป็นสัตว์เดียรัจฉาน จะไม่เป็นสัตว์เดียรัจฉานเป็นมด เป็นยุง ไม่เป็น อย่างน้อยก็เท่ากับนกกระจาบ นี้แสดงว่า ยังมีโอกาสไปทำผิดทำพลาด เกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานได้ ยังมีโอกาสผิดพลาดตกนรกได้ เพียงแต่ว่าจะได้สติรู้ตัวเร็วกลับตัวลุกขึ้นยืนหยัดใหม่ได้เลย

เรื่องที่เราเองล้มในชาตินี้ เช่นว่าทำธุรกิจแล้วมันย่ำแย่ไม่เป็นไปอย่างที่คิด มีหนี้มีสิน หรือป่วยไข้ไม่สบาย หรือว่าบางคน ล้มเพราะว่ารู้สึกว่าหนุ่มๆสาว คู่รักเขาไม่เป็นใจด้วย เขาเป็นไปอื่น โดยซึมเศร้า เหงา เซ็ง อย่างนี้เป็นต้น มีหลากหลายรูปแบบ เรื่องเล็กทั้งนั้น ถ้าเปรียบกับการที่ว่า ล้มชนิดที่ว่าหลุดจากยูนิฟอร์มมนุษย์ ไปเกิดเป็นยูนิฟอร์มของสัตว์ ไปเป็นลิง เป็นเสือ ช้าง กวาง เก้ง อย่างนี้ เป็นนก มันถูกขังด้วยกายของสัตว์เลยนะ พูดก็ไม่ได้ ได้แต่ร้องเจี๊ยกๆจ๊ากๆไป จะทำการงานต่างๆก็ไม่สะดวก ทำความดีก็ไม่สะดวกเหมือนกับเป็นมนุษย์ ในโลกเราการล้มที่หนักหนาสาหัสมากคือการถูกจองจำ สมมุติว่าติดคุก 5 ปี 10 ปี รู้สึกโอ้โหเป็นการล้มที่ใหญ่หลวงมาก ยิ่งกว่าแฟนทิ้งเยอะ แต่ว่าติดคุกยังมีวันออก

มองให้กว้างไปกว่านั้น

อยู่ในคุกก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ยังมีโอกาสที่จะทำอะไรได้ เนรู บิดาแห่งอินเดียใหม่ ก็เคยติดคุกมาก่อน เป็นคุกการเมือง ระหว่างอยู่ในคุกก็ยังเขียนตำราประวัติศาสตร์โลก เพื่อสอน อินทิรา คานธี ลูกสาวตัวเอง แล้วต่อมามาพิมพ์เป็นเล่มหนาเลย ส.เศรฐบุตร ก็เขียนพจนานุกรม อังกฤษ-ไทย ตอนติดคุกการเมืองอยู่ ติดคุกยังมีโอกาสใช้ยูนิฟอร์มมนุษย์ กายมนุษย์ที่ตัวเองมี ทำสิ่งดีๆที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ได้ แต่ถ้าเกิดไปเกิดในยูนิฟอร์มของสัตว์แล้วเป็นไงเอ่ย หมดสิทธ์เลย ถูกกายของสัตว์ครอบอยู่นี้มันหมดสิทธ์ มันหนักยิ่งกว่าติดคุกเยอะ

ถามว่าพระบรมโพธิสัตว์ท้อไหม เลิกไหม ยังลุกที่จะสู้ทำความดีต่อไหม ท่านยังทำต่อ แล้วหนักกว่าการเกิดเป็นสัตว์คือ ตกนรก มีกายสัตว์นรกครอบพรึบเลยแล้วก็มีทัณฑ์ทรมานลำบาก ตายเกิด ตายเกิด วันละหลายล้านหน ท่านท้อไหม เลิกละในการทำความดี เลิกละมโนปณิธานที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไหม ตอบว่าไม่เลิก ล้มแล้วล้มขนาดนั้นยังต้องลุกขึ้นมายืนหยัด สุดท้ายจึงชนะ แล้วก็ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในที่สุด นี้คือสิ่งที่พวกเราเองทุกคนเคยเจอมาแล้วทั้งนั้น แต่เราลืม แค่ได้เกิดเป็นมนุษย์นี้ได้ เราก็เคยตกนรก เราก็เคยเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ได้เพราะอะไร เพราะในใจยังมีความคิดที่จะยืนหยัดทำความดีอยู่ แม่ไม่สูงขนาดเป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม จึงค่อยๆฟื้นตัว จนกระทั่งมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ได้ งั้นชาตินี้ถือเป็นชาติที่ประเสริฐแล้ว เราอาจจะไม่ได้เกิดเป็นลูกคนรวย ตระกูลสูง สติปัญญาดีเยี่ยม หรือว่ารูปร่างหน้าตาดีเลิศ แต่แค่เป็นมนุษย์แค่นี้นี่ก็ถือว่าดีสุดๆล่ะ ดังนั้น อุปสรรคใดๆอย่าเจอขึ้นมาให้ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ลุกขึ้นมายืนหยัดแล้วก็เดินหน้าต่อไปเถอะ ดูตัวอย่างจากคนอื่นๆที่เขาประสบความสำเร็จก็ได้

แจ็กหม่า เจ้าของบริษัทอาลีบาบา มหาเศรษฐีรวยในจีนถึง 2 หมื่นล้านเหรียญก็ประมาณเจ็ดแสนล้านบาทไทย ตอนหนุ่มๆ ไปสมัครงานเป็นพนักงานของ KFC สมัคร 25 คน เขารับ 24 คน มีไม่ผ่านคนเดียวคือ แจ็กหม่า บอกบุคลิกไม่ผ่าน เป็นเราท้อไหม 25 คนแล้วเขา 24 เราตกอยู่คนเดียว ถ้าเกิดสมัคร 200 แล้วรับ 20 ค่อยยังชั่วหน่อยรู้สึกว่าเราไม่แย่เกินไป ยังมีเพื่อนตกด้วยกันหลายคน 25 คน เราตกอยู่คนเดียวคือเราเอง ผ่าน 24 แต่แจ๊คหม่าไม่ท้อ ขวนขวายเพิ่มเติมความรู้ภาษาอังกฤษต่างๆ เต็มที่ ไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษหาช่องทางความรู้เรื่องเว็บไซต์ เรื่องอินเตอร์เน็ตต่างๆ

สุดท้ายตั้งบริษัทอาลีบาบา ขายตรงทางด้านอินเตอร์เน็ตได้ แล้วก็ประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ แล้วกลับไปซื้อกิจการของ KFC ในประเทศจีนทั้งหมด หมดทั้งประเทศเลย ชะตาไม่ให้เป็นลูกจ้าง แต่ชะตาจะให้เป็นเจ้าของ แล้ว KFC ที่ซื้อก็เป็นแค่ธุรกิจเสี้ยวเดียวของ แจ๊คหม่าเท่านั้นเอง เพราะบริษัทอาลีบาบาของเขามันใหญ่กว่านั้นอีกเยอะ

โทรศัพท์สมาร์ทโฟน

คนเราขอให้ล้มแล้วลุก ล้มแล้วสู้อย่าท้อนั่นเอง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มีโอกาสรอเราอยู่ข้างหน้า หรือคนที่ทำ แอปพลิเคชั่น whatsapp เป็นไงเอ่ย ตกงาน จากบริษัทไอที จะไปสมัครบริษัทอื่นปรากฏว่า สัมภาษณ์แล้วไม่ผ่านเขาไม่รับ ทำไงดี งั้นจับมือกันทำ whatsapp ดีกว่า ก้มหน้าก้มตาทำอยู่ 5 ปี เป็นหลักเป็นฐานขึ้นมา แล้ว Facebook ก็มาขอซื้อ หมื่นเก้าพันล้านเหรียญ ก็ตกราวๆเกือบเจ็ดแสนล้านบาท จากคนตกงานถูกเขาไล่ออก ไปสมัครใหม่เขาก็ไม่รับ มาทำเองถึง 5 ปี ฮึดสู้สุดท้ายประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราเองเจออุปสรรคหนักเท่าไรก็ตามอย่าไปท้อ ให้ฮึดสู้

วิธีการจะฮึดสู้ได้ หัวใจที่สำคัญที่สุดก็คือ ให้รักษามโนปณิธานเป้าหมายชีวิตของเรา เราต้องการเป็นอะไร เขียนลงมาเลยแปะติดข้างฝา ติดข้างเตียงเอาไว้หัวเตียง ดูทุกวัน ยืนหยัดรักษาเป้าหมายนั้น อย่าไปคิดว่าไกลเกินเอื้อมไกลเกินฝัน ให้รักษาฝันนั้นเถอะ แล้วก็ก้าวเดินทีละก้าว ละก้าว จะยากเท่าไรอุปสรรคมากแค่ไหนก็ไม่ท้อ ยังยืนหยัดสู้เสมอ แล้วพอเรื่องหนักๆโหมเข้ามา หัวใจสำคัญ คือ รักษาใจเราให้ได้

นั่งสมาธิ

1. รักษามโนปณิธาน

2. สองนั่งสมาธิด้วย พอนั่งสมาธิแล้วใจเรานิ่ง พลังใจจะเกิด ปัญญาจะเกิด จะเริ่มเห็นช่องทาง

3. ขวนขวายหาความรู้ อย่าเสียเวลากับการนั่งซึมเซาเจ่าจุกคิดฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อย ทำไมถึงต้องเป็นเรา อย่าปล่อยเวลาเสียประโยชน์อย่างนั้น แต่ว่าเอาเวลามาขวนขวายเพิ่มความรู้ตัวเอง ทักษะภาษา ทักษะคอมพิวเตอร์ ทักษะในการทำงานด้านต่างๆ ทุกวันที่ผ่านไปความรู้เราต้องเพิ่มขึ้น ความรู้ที่เพิ่มขึ้น วิสัยทัศน์ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เราเห็นโอกาส

4. หากัลยาณมิตร จะเป็นครูบาอาจารย์ เป็นเพื่อนฝูง คนที่พูดคุยด้วยแล้วทำให้เรามีกำลังใจ แล้วก็จะได้ข้อมูล ช่องทางใหม่ๆ ทำให้เรามองเห็นโอกาสในการจะก้าวไปข้างหน้า เห็นช่องทาง 10 ช่องทาง สำเร็จจริงๆ 1 ช่องทาง ก็ดีเลิศแล้ว การเห็นช่องทางทำให้เราเองเสริมพลังใจ จากเดิมมืดๆไม่รู้จะเอายังไงดี คุยไปคุยมาเอ๊ะเริ่มเห็นช่องนี่ มันอาจจะรำไรๆ มันจะสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ ก็ยังยืนหยัดเดินได้ต่อไป ยังดีกว่ามองไปแล้วมันมืดตื้อมือมิดทั้งหมดเลย แล้วก็ประสบความสำเร็จในที่สุด

ขอบคุณ... https://goo.gl/hvojJT (ขนาดไฟล์: 0 )

ที่มา: www.dmc.tvออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 06 ก.ย.60
วันที่โพสต์: 6/09/2560 เวลา 11:12:08 ดูภาพสไลด์โชว์ ล้มแล้วลุก