มาฆบูชา : เยียวยาสังคมไทยด้วยความรัก
วันมาฆบูชา ปราชญ์บางท่านกล่าวว่า เป็น “วันแห่งความรัก” ของพระพุทธศาสนา หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง (โดยไม่ต้องอิงกับกระแสวันวาเลนไทน์ก็ได้) ก็จะเห็นว่า คำกล่าวนี้มีข้อเท็จจริงรองรับอยู่เหมือนกัน เพราะในวันดังกล่าวนี้เป็นวันที่
1.พระพุทธเจ้า “ผู้เป็นบุคคลแห่งความรัก” หรือผู้ถึงพร้อมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก (มหาการุณิโก) ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันต์ 1,250 องค์
2.พระอรหันต์ทุกองค์ ล้วนเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรักอันบริสุทธิ์ต่อสรรพสัตว์ ปรารถนาแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ พระอรหันต์ทั้งปวงที่มาประชุมกันในวันนั้นจึงเป็น “ชุมชนแห่งบุคคลที่เปี่ยมด้วยความรัก”
3.หลักธรรมสำคัญที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา “ล้วนเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ความรักอันเป็นสากล” เช่น หลักที่ว่า “ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์” ผู้ปฏิบัติตามหลักการนี้สมบูรณ์ก็คือผู้ลุถึงพระนิพพาน และผู้บรรลุพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จึงมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตทุกถ้วนหน้า ปรารถนาแต่จะช่วยปวงสัตว์ให้พ้นทุกข์ ดังคำกล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ระบุไว้ว่า “บุคคลนิพพาน ทำการเพื่อโลก”
4.เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของโอวาทปาฏิโมกข์ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชาก็ จะพบว่า มีสาระสำคัญที่ชี้ทางให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน เช่น - ความอดทนอดกลั้น คือ การบำเพ็ญตบะอันยอดเยี่ยม - ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่นับว่าเป็นนักบวช - ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่นับว่าเป็นสมณะ - นักบวช (ในพุทธศาสนา) ไม่กล่าวร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร
กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ หลักการดังกล่าวนี้ ล้วนสอนให้ “ไม่ใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” (non-violence) และสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยการมี “ขันติธรรม” หรือ “สันติธรรม” ถึงแม้จะถูกกระตุ้นเร้าให้ใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ต้องไม่พลัดตกลงไปสู่หลุม พรางของความรุนแรงเป็นอันขาด เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
“ต่อให้มีคนจับเธอมัดตรึงสองมือ สองเท้า แล้วใช้เลื่อยที่คมกริบเลื่อยเธอให้ขาดเป็นสองท่อน ต่อให้ถูกกระทำถึงเพียงนี้ก็ต้องไม่โกรธ ผู้ใดโกรธ ผู้นั้นไม่นับเป็นสาวกของเรา”
สังคมไทยของเราในเวลานี้ คุกรุ่นไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ เกลียด ชิงชัง ความรุนแรงทั้งทางความคิด ทางวาจา และทางการกระทำ จนร่ำๆ จะกลายเป็นมิคสัญญีกลียุคในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น หากเราคนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม จะหันกลับมาหาสารธรรมจากโอวาทปาฏิโมกข์ด้วยการร่วมกันศึกษา ทำความเข้าใจ แล้วน้อมนำหลักธรรมนั้นออกมาใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูบูรณะสังคมไทยให้เป็น สังคมแห่งขันติธรรมและสันติสุข ก็คงจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลมาฆบูชาที่ประเสริฐเลิศล้ำที่สุด สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การบูชาด้วยการนำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตจริงเป็นการบูชาที่มีคุณค่าที่สุด”
เสียงจาก 3 จว.ใต้
"ขอรัก-สันติภาพยั่งยืนกลับคืน"
"วันแห่งความรัก" กลายเป็นอีกวันหนึ่งที่หลายคนรอคอย ทว่าอีกมุมหนึ่งของสังคมยังคงมีผู้ที่ถวิลหาความรัก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่างใช้โอกาสนี้เพรียกหาความรักแบบยั่งยืนกลับคืนดุจเดิม
"คม ชัด ลึก" ตรวจสอบความรู้สึกลึกๆ ของเยาวชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟใต้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการดูแลและสนับสนุนทางด้านการศึกษาจาก "กลุ่มลูกเหรียง" ภายใต้สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้
อับดุลเลาะ ดือราแม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์ อ.รามัน จ.ยะลา บอกว่า ในวันวาเลนไทน์นั้น หรับคนอื่นๆ อาจต้องการคนรัก แต่ส่วนตัววันวาเลนไทน์ปีนี้อยากได้ความรัก ความรักในที่นี้ คือ ความรักที่พี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีให้กัน ไม่ทะเลาะกัน หรือเข่นฆ่ากัน ดังนั้น วันแห่งความรักปีนี้จึงขอให้พื้นที่นี้กลับมามีแต่ความรัก มีความสุขตลอดไป
ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจาก ซันซู สะมะแอ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ชั้นปีที่ 3 โปรแกรมวิทยาการคอมพิวเตอร์ สะท้อนว่า อยากเห็นคนในพื้นที่นี้เลิกฆ่ากัน มีวันที่เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ต้องมาหวาดระแวงเช่นทุกวันนี้ อยากให้หยุดทำร้ายกัน มีสันติภาพเกิดขึ้นโดยเร็ว
ส่วนมุมมองของ อาลิซ่า สาเมาะ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ชั้นปีที่ 3 โปรแกรมวิชาจิตวิทยา บอกว่า อยากเห็นคนไทยรักกัน ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวายมากมาย เชื่อว่าหากคนไทยทุกคนมีความรักให้กันมากกว่าตอนที่เป็นอยู่ ประเทศไทยจะมีแต่ความสุข และความสงบมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20140213/178855.html#.UvxoEfsyPlA
คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 13 ก.พ.57
แสดงความคิดเห็น
รายละเอียดกระทู้
มาฆบูชา : เยียวยาสังคมไทยด้วยความรัก วันมาฆบูชา ปราชญ์บางท่านกล่าวว่า เป็น “วันแห่งความรัก” ของพระพุทธศาสนา หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง (โดยไม่ต้องอิงกับกระแสวันวาเลนไทน์ก็ได้) ก็จะเห็นว่า คำกล่าวนี้มีข้อเท็จจริงรองรับอยู่เหมือนกัน เพราะในวันดังกล่าวนี้เป็นวันที่ 1.พระพุทธเจ้า “ผู้เป็นบุคคลแห่งความรัก” หรือผู้ถึงพร้อมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลก (มหาการุณิโก) ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์แก่พระอรหันต์ 1,250 องค์ 2.พระอรหันต์ทุกองค์ ล้วนเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรักอันบริสุทธิ์ต่อสรรพสัตว์ ปรารถนาแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์โลกให้พ้นทุกข์ พระอรหันต์ทั้งปวงที่มาประชุมกันในวันนั้นจึงเป็น “ชุมชนแห่งบุคคลที่เปี่ยมด้วยความรัก” 3.หลักธรรมสำคัญที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชา “ล้วนเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่ความรักอันเป็นสากล” เช่น หลักที่ว่า “ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม ชำระจิตให้บริสุทธิ์” ผู้ปฏิบัติตามหลักการนี้สมบูรณ์ก็คือผู้ลุถึงพระนิพพาน และผู้บรรลุพระนิพพานแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป จึงมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตทุกถ้วนหน้า ปรารถนาแต่จะช่วยปวงสัตว์ให้พ้นทุกข์ ดังคำกล่าวถึงคุณสมบัติของพระอรหันต์ที่ท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ระบุไว้ว่า “บุคคลนิพพาน ทำการเพื่อโลก” 4.เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของโอวาทปาฏิโมกข์ที่ทรงแสดงในวันมาฆบูชาก็ จะพบว่า มีสาระสำคัญที่ชี้ทางให้มวลมนุษยชาติอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน เช่น - ความอดทนอดกลั้น คือ การบำเพ็ญตบะอันยอดเยี่ยม - ผู้ทำร้ายผู้อื่น ไม่นับว่าเป็นนักบวช - ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่นับว่าเป็นสมณะ - นักบวช (ในพุทธศาสนา) ไม่กล่าวร้ายใคร ไม่ทำร้ายใคร กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ หลักการดังกล่าวนี้ ล้วนสอนให้ “ไม่ใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ หรือต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด” (non-violence) และสอนให้อยู่ร่วมกันด้วยการมี “ขันติธรรม” หรือ “สันติธรรม” ถึงแม้จะถูกกระตุ้นเร้าให้ใช้ความรุนแรงอย่างไรก็ต้องไม่พลัดตกลงไปสู่หลุม พรางของความรุนแรงเป็นอันขาด เหมือนที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ต่อให้มีคนจับเธอมัดตรึงสองมือ สองเท้า แล้วใช้เลื่อยที่คมกริบเลื่อยเธอให้ขาดเป็นสองท่อน ต่อให้ถูกกระทำถึงเพียงนี้ก็ต้องไม่โกรธ ผู้ใดโกรธ ผู้นั้นไม่นับเป็นสาวกของเรา” สังคมไทยของเราในเวลานี้ คุกรุ่นไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ เกลียด ชิงชัง ความรุนแรงทั้งทางความคิด ทางวาจา และทางการกระทำ จนร่ำๆ จะกลายเป็นมิคสัญญีกลียุคในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น หากเราคนไทยทุกคน ทุกกลุ่ม จะหันกลับมาหาสารธรรมจากโอวาทปาฏิโมกข์ด้วยการร่วมกันศึกษา ทำความเข้าใจ แล้วน้อมนำหลักธรรมนั้นออกมาใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูบูรณะสังคมไทยให้เป็น สังคมแห่งขันติธรรมและสันติสุข ก็คงจะเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลมาฆบูชาที่ประเสริฐเลิศล้ำที่สุด สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “การบูชาด้วยการนำธรรมะมาปฏิบัติในชีวิตจริงเป็นการบูชาที่มีคุณค่าที่สุด” เสียงจาก 3 จว.ใต้ "ขอรัก-สันติภาพยั่งยืนกลับคืน" "วันแห่งความรัก" กลายเป็นอีกวันหนึ่งที่หลายคนรอคอย ทว่าอีกมุมหนึ่งของสังคมยังคงมีผู้ที่ถวิลหาความรัก โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ต่างใช้โอกาสนี้เพรียกหาความรักแบบยั่งยืนกลับคืนดุจเดิม "คม ชัด ลึก" ตรวจสอบความรู้สึกลึกๆ ของเยาวชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไฟใต้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการดูแลและสนับสนุนทางด้านการศึกษาจาก "กลุ่มลูกเหรียง" ภายใต้สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ อับดุลเลาะ ดือราแม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมะอาหัดอิสลามียะห์ อ.รามัน จ.ยะลา บอกว่า ในวันวาเลนไทน์นั้น หรับคนอื่นๆ อาจต้องการคนรัก แต่ส่วนตัววันวาเลนไทน์ปีนี้อยากได้ความรัก ความรักในที่นี้ คือ ความรักที่พี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีให้กัน ไม่ทะเลาะกัน หรือเข่นฆ่ากัน ดังนั้น วันแห่งความรักปีนี้จึงขอให้พื้นที่นี้กลับมามีแต่ความรัก มีความสุขตลอดไป ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจาก ซันซู สะมะแอ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ชั้นปีที่ 3 โปรแกรมวิทยาการคอมพิวเตอร์ สะท้อนว่า อยากเห็นคนในพื้นที่นี้เลิกฆ่ากัน มีวันที่เราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มีอะไรก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ต้องมาหวาดระแวงเช่นทุกวันนี้ อยากให้หยุดทำร้ายกัน มีสันติภาพเกิดขึ้นโดยเร็ว ส่วนมุมมองของ อาลิซ่า สาเมาะ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ชั้นปีที่ 3 โปรแกรมวิชาจิตวิทยา บอกว่า อยากเห็นคนไทยรักกัน ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวายมากมาย เชื่อว่าหากคนไทยทุกคนมีความรักให้กันมากกว่าตอนที่เป็นอยู่ ประเทศไทยจะมีแต่ความสุข และความสงบมากยิ่งขึ้น ขอบคุณ... http://www.komchadluek.net/detail/20140213/178855.html#.UvxoEfsyPlA คมชัดลึกออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย 13 ก.พ.57
จัดฟอร์แม็ตข้อความและมัลติมีเดีย
รายละเอียดการใส่ ลิงค์ รูปภาพ วิดีโอ เพลง (Soundcloud)